หน้ากากอนามัยซีพี ถึงมือหมอ ล่าสุดได้ฤกษ์ ประธานอาวุโสธนินท์มอบหน้ากากอนามัย เพื่อบุคลากรทางการแพทย์ แจกจ่ายผ่านรพ.จุฬาลงกรณ์ฯ ถึงมือหมอทั่วประเทศ พร้อมชี้ ยามท้องฟ้ามืด ต้องคิดว่าเมื่อสว่างจะทำอย่างไร และยืนยันซีพีทั่วโลกดูแลพนักงานไม่เลิกจ้างพนักงานจากสถานการณ์โควิด-19 บริษัทต้องดูแลสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดนั่นคือ “การรักษาคน”

16 เมษายน 2563 – คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมด้วย ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ศ.นพ.วิชัย เบญจชลมาศ ผู้อำนวยการศูนย์โรคหัวใจ รพ.จุฬาลงกรณ์ฯ คุณสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือฯ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือฯ พร้อมคณะแพทย์ รพ.จุฬาลงกรณ์ฯ และผู้บริหารเครือซีพี เข้าเยี่ยมชม “โรงงานซีพีหน้ากากอนามัยฟรีเพื่อคนไทย” ที่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเปิดสายการผลิตหน้ากากอนามัยเป็นวันแรก และเครือซีพีได้ส่งมอบหน้ากากอนามัยจำนวน 100,000 ชิ้นแรก ให้แก่ รพ.จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ เปิดเผยว่า รู้สึกยินดีและมีความสุขมากที่เครือซีพีสามารถสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อแจกฟรีให้แก่แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ตลอดจนประชาชนได้ภายในเวลา 5 สัปดาห์ ซีพีเห็นความสำคัญว่าสถานการณ์ขณะนี้ต้องเร่งปกป้องแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้มีพลังที่จะปกป้องประชาชน ดังนั้นจึงสำคัญมากที่ต้องผลิตหน้ากากอนามัยแจกจ่ายให้ทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ สภากาชาดไทย จะเป็นองค์กรที่ดูแลแจกจ่ายหน้ากากอนามัยส่งต่อไปยังทุกโรงพยาบาลในประเทศ และส่วนที่เหลือจึงแจกจ่ายให้ประชาชนทั่วไปฟรี โดยกำลังการผลิตปัจจุบันตั้งเป้าไว้ที่วันละ 1 แสนชิ้น หรือ 3 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยโรงงานนี้เป็นโรงงานอัตโนมัติใช้ผู้ควบคุมในโรงงานเพียง 3 คน เพื่อให้เป็นโรงงานที่ปลอดเชื้อโรคสูงสุด สามารถผลิตได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ประธานอาวุโสธนินท์ เจียรวนนท์ กล่าวต่อว่า เครือฯ ดำเนินการสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยบนพื้นฐานค่านิยม 3 ประโยชน์ ที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนส่วนรวมเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งในภาวะที่ประเทศเผชิญวิกฤต หากมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้แพทย์และโรงพยาบาลต่างๆ ต้องรับภาระสูงสุด ดังนั้น ซีพีเห็นว่าหน้ากากอนามัยถือเป็นอุปกรณ์ป้องกันสำคัญในวิกฤตนี้ไม่ให้เชื้อโควิด-19 แพร่ระบาดลุกลามจนโรงพยาบาลต้องรับภาระหนัก ซีพีทำธุรกิจในแผ่นดินไทย ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่เครือฯ จะได้รับใช้แผ่นดินไทยในยามวิกฤต โดยช่วยผลิตหน้ากากอนามัยให้กแก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์

“แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์คนกลุ่มนี้ปฏิบัติงานเสี่ยงชีวิตไม่ต่างกับทหารที่อยู่หน้าสนามรบ เหน็ดเหนื่อยทุ่มเท เอาชีวิตมาเสี่ยง ผมยกย่องและประทับใจมาก ซึ่งซีพีก็ได้ใช้เวลาตลอด 5 สัปดาห์ผ่านอุปสรรคต่างๆ จนสามารถสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยได้สำเร็จ และวันนี้ถือเป็นหน้าที่คนไทยที่ต้องช่วยกันอยู่บ้านไม่จำเป็นอย่าออกมาให้มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ เพราะจะยิ่งเพิ่มภาระให้แก่โรงพยาบาลและแพทย์ จึงต้องเห็นใจและลดภาระช่วยพวกเขา การช่วยเหลือประเทศวันนี้หากใครไม่มีกำลังทรัพย์ก็สามารถช่วยกันด้วยวิธีอยู่บ้านไม่ออกจากบ้านแพร่เชื้อ เป็นวิธีที่จะทำให้ประเทศฟื้นเร็วที่สุด ในวิกฤตอย่างนี้ต้องช่วยกัน อย่าทำให้โรคนี้กระจายออกไปมากขึ้น เป็นการช่วยชาติ รัฐบาล และโรงพยาบาล” ประธานอาวุโสเครือซีพีกล่าว

ด้าน ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า รพ.จุฬาลงกรณ์ฯ ขอขอบคุณเครือซีพีที่สร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อแจกจ่ายฟรีให้แก่โรงพยาบาลทั่วประเทศ ทั้งนี้ รพ.จุฬาลงกรณ์ฯ จะประสานความร่วมมือกับสภากาชาดไทยเพื่อเป็นเครือข่ายในการกระจายหน้ากากอนามัยไปยังบุคลากรทางการแพทย์ตามโรงพยาบาลในจังหวัดต่างๆ อย่างครอบคลุม โรงงานหน้ากากอนามัยนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยประเทศไทยรอดพ้นภาวะวิกฤต เป็นการสร้างอาวุธ เกราะป้องกันให้แก่แพทย์และบุคลากร โดยหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับและผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.เรียบร้อยแล้ว และจากการที่ได้เยี่ยมชมก็เห็นถึงประสิทธิภาพว่าเป็นโรงงานที่สามารถผลิตหน้ากากอนามัยที่มีคุณภาพได้จริง

“ผมขอพูดในนามตัวแทนโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ และโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศว่าประเทศไทยมีคุณค่าเรื่องการให้และการรับ ได้เห็นจิตใจคนไทยที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและกัน ซึ่งเราซึ้งใจมากที่ประธานอาวุโสของเครือซีพีได้มอบสิ่งมีค่าในการใช้ป้องกันโรคให้เรา และพวกเราซาบซึ้งกับหลายท่านที่ได้เป็นผู้ให้ไม่ว่าบริจาคสิ่งให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ และโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ สิ่งเหล่านี้เรานำกลับมาใช้ป้องกันและร่วมกันฝ่าฟันวิกฤตนี้ได้เร็วที่สุด” ผอ.รพ.จุฬาลงกรณ์ฯ กล่าว

นอกจากนี้ท่านประธานอาวุโส ยังได้กล่าวถึงการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 โดยเครือซีพีประกาศว่า ซีพีในทุกประเทศทั่วโลกจะไม่มีการเลิกจ้างพนักงานออกแม้แต่คนเดียว และเราต้องดูแลพนักงานของซีพีให้ดีที่สุดไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยมีมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อช่วยปกป้องพนักงานไม่ให้เข้าไปเผชิญความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มีการใช้มาตรการทำงานที่บ้านโดยยังจ่ายเงินเดือนและรายได้เช่นเดิม ซึ่งซีพีให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานมาก เพราะการรักษาคนของซีพีก็เท่ากับบริษัทรักษาพลังของบริษัทไว้คู่กันเพื่อเตรียมพร้อมเดินหน้าหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย เพราะเมื่อถึงเวลานั้นประเทศต้องเดินหน้าต่อได้ทันทีเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ภาคแรงงานและกำลังคนของซีพีก็จะเดินหน้าได้ทันที เป็นการเตรียมพร้อมในเวลานี้ของซีพีหลังวิกฤตจบลง ซึ่งซีพีใช้แนวทางนี้จนประสบความสำเร็จมาแล้วในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดหนักที่เมืองอู่ฮั่นในจีน

ประธานอาวุโสเครือซีพี กล่าวด้วยว่า ได้ประเมินวิกฤตเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกโดยบอกว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นในขณะนี้แตกต่างกับวิกฤตเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ผ่านมา ไม่เหมือนวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่ครั้งนี้เป็นวิกฤตระดับโลกเกิดขึ้นกระทันหันทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักลง ผู้คนต้องกักตัวในที่อยู่อาศัยเพื่อเลี่ยงการแพร่เชื้อโรค สำหรับประเทศไทยส่งผลให้ธุรกิจสำคัญอย่างภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีผลกระทบทั้งระบบ ซึ่งประเทศไทยพึ่งพารายได้ด้านการท่องเที่ยวมหาศาล ดังนั้นในช่วงวิกฤตจากโควิด-19 ที่ยังมีอยู่นี้จึงเสนอให้เตรียมแผนเชิงรุกด้านการท่องเที่ยวและส่งออกไว้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสะสมพลังไว้ และขอให้ภาคเอกชนและธุรกิจต่างๆ เตรียมพร้อมด้านกำลังคนและภาคแรงงานไว้ หากสามารถที่จะช่วยเหลือไม่เลิกจ้างแรงงาน ทำให้ผู้คนยังมีกำลังจับจ่ายภายในประเทศได้จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะวันนี้เมื่อมืดที่สุดก็จะสว่างไม่มีวันที่จะมืดไปตลอดกาล ดังนั้นเมื่อสว่างแล้วก็จะต้องเตรียมตัวว่าจะต้องทำอย่างไร เช่นเดียวกับที่เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะเป็นโอกาสของประเทศไทยอย่างมาก เพราะหลังวิกฤตแล้วมีโอกาสแน่นอน

-###-

CR : PR CPG