
4 ตุลาคม 2568 – คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) ร่วมเสนอวิสัยทัศน์บนเวที “CEO PANEL: “ปรับแนวคิด พลิกธุรกิจ ท่ามกลางความผันผวนโลก” ในงานมหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน SX Sustainability Expo 2025 “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (SX 2025) ร่วมกับผู้บริหารองค์กรชั้นนำของประเทศ คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และคุณธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยมีนายสุทธิชัย หยุ่น เป็นผู้ดำเนินรายการ เพื่อนำเสนอแนะแนวทางการสร้างความร่วมมือเพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายการพัฒนายั่งยืนร่วมกัน ท่ามกลางบริบทโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ภายในงานมีผู้บริหารองค์กรชั้นนำ นักธุรกิจ เครือข่ายองค์กรด้านความยั่งยืนระดับประเทศ และระดับโลก ผู้ประกอบการหลายสาขาให้ความสนใจเข้าร่วมฟังกว่า 1,000 คน ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า “วันนี้โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ Green Financing หากประเทศไทยต้องการเป็นศูนย์กลางด้านกรีนไฟแนนซ์ เราทำได้ด้วยการส่งเสริมเรื่องอัตราดอกเบี้ย ภาครัฐอาจตั้งกองทุนหรือหน่วยงานเฉพาะ เพื่อสนับสนุนสินเชื่อสีเขียวที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำลง เป็นแรงจูงใจให้ต่างชาติมาลงทุนและตั้งฐานการผลิตในไทย เพราะเมื่อ ต้นทุนทางการเงินลดลง ก็จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศได้อย่างมหาศาล พร้อมกันนี้ ยังช่วยให้ เอสเอ็มอีไทยสามารถปรับตัวและยกระดับการผลิต ให้สอดคล้องกับห่วงโซ่อุปทานโลกที่กำลังเปลี่ยนไป เชื่อว่าสถาบันการเงินทั่วโลกเองก็พร้อมสนับสนุนทิศทางนี้ เพราะพลังงานทดแทนและความยั่งยืนคือสิ่งที่ทั่วโลกต้องการ และต้นทุนของเทคโนโลยีเหล่านี้ก็เริ่มลดลงเรื่อย ๆ หากมีแรงสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติม ก็จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้เร็วขึ้น ขณะที่ภาคเอกชนเองต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ยึดหลักสากลและสร้างมาตรฐานใหม่ที่ตอบรับกับเทรนด์โลก ทั้งในด้าน ความยั่งยืน พลังงานสะอาด และการลดคาร์บอน เพราะหากเราไม่ปรับตัววันนี้ ก็อาจตกขบวนของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น องค์กรยุคนี้ต้อง ‘ทำไป เรียนรู้ไป’ และ ‘กลับไปเรียนรู้ใหม่’ เราต้องเป็นเหมือนห้องทดลอง (Lab) ที่กล้าลองผิดเล็ก ๆ แต่ได้เรียนรู้เยอะๆ เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้คิดและลงมือทำจริง เพราะจากการทดลองเล็ก ๆ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและยิ่งใหญ่ในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดคือแต่ละองค์กรต้องร่วมมือและเชื่อมโยงกัน เพราะพลังแห่งความร่วมมือนั้นจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง”

ด้านคุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริบททางการเมืองในวันนี้ อาจมองได้ว่าเป็นประเด็นในระดับท้องถิ่น ขณะที่เศรษฐกิจกลับเชื่อมโยงกันในระดับโลก ผลจากโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเงินคงคลังและศักยภาพในการขับเคลื่อนของทุกประเทศ โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คำถามคือเราจะปรับตัวอย่างไร เพราะทุกธุรกิจล้วนเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน เราจำเป็นต้องร่วมมือและผนึกกำลังกัน ตามแนวทางของ SDG 17: Partnerships for the Goals เปิดพื้นที่พูดคุยกันให้มากขึ้น ปรับตัวให้เร็ว เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและต่อยอดโอกาสใหม่ ๆ ร่วมกัน สำหรับไทยเบฟ เรามองว่ายุคนี้คือช่วงเวลาที่ต้อง ‘เข้าใจ และคิดให้ครบ’ แม้จะยาก เพราะเราไม่อาจรู้ทุกเรื่อง แต่เราสามารถรวบรวมข้อมูลจากสิ่งที่มีอยู่ มองให้เห็นบริบทโดยรอบ และคิดอย่างรอบด้าน สิ่งสำคัญคือ ผู้บริหารต้องตัดสินใจให้ดี ให้เร็ว และกล้าปรับเปลี่ยน แม้ทุกการตัดสินใจจะมีผลกระทบ แต่ต้องอยู่ในกรอบที่เราประเมินว่ายอมรับได้”

ขณะที่คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG กล่าวว่า “ESG ไม่ใช่เทรนด์ที่เลือกทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่กลายเป็น ใบอนุญาตในการทำธุรกิจ แล้ว หากองค์กรไม่ปรับตัว อาจถูกตัดออกจากซัพพลายเชนโลก ดังนั้น การปรับตัวต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันในซัพพลายเชนเพื่อยกระดับมาตรฐาน ESG ของทั้งระบบ แทนที่จะปล่อยให้แต่ละองค์กรต้องลองผิดลองถูกเอง หากมีบริษัทใดทดลองแล้วไม่เวิร์ก ควรแชร์บทเรียนให้ผู้อื่นหลีกเลี่ยง และหากมีแนวทางที่เวิร์ก ก็ควรนำมาเผยแพร่เพื่อให้ทั้งห่วงโซ่อุปทานของประเทศแข็งแรงขึ้น”

ทั้งนี้ คุณธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มไทยยูเนี่ยน ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า “โลกหลังจากนี้จะเต็มไปด้วยสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ จึงต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา องค์กรต้อง เรียบง่าย, มีต้นทุนเชิงบวก, และ เร็ว เพื่อให้มีความยืดหยุ่นสูงในทุกสถานการณ์สำหรับทิศทางในอนาคต ไทยยูเนี่ยนให้ความสำคัญกับการสร้างบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก เข้าใจบริบทที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และสามารถมองหาโอกาสใหม่ ๆ ควบคู่กับการเสริมจุดแข็งและป้องกันความเสี่ยง เพื่อให้ธุรกิจพัฒนาและเติบโตได้อย่างยั่งยืน”



งาน SUSTAINABILITY EXPO 2025 ภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” สะท้อนให้เห็นว่า “โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” และทุกคนในองค์กรล้วนมีบทบาทสำคัญในการปรับตัว เรียนรู้สิ่งใหม่ และร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในแนวทางที่ยั่งยืน เพื่อให้เราและองค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลก

