
30 กรกฎาคม 2568 – กรุงเทพมหานคร มหกรรมด้านความยั่งยืนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของปี GCNT EXPO 2025: Forward SDGs Faster Together เปิดฉากแล้ววันนี้ ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 29–31 กรกฎาคม 2568 รวมพลังภาครัฐ ภาคเอกชน นักคิดรุ่นใหม่ ศิลปิน และประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อเร่งขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของไทยให้ทันปี 2030 ภายใต้กรอบ 7 Transformations หรือ 7Ts อันได้แก่ Table, Tourism, Tech, Trade, Transition, Talent และ Trust โดยงานนี้จัดโดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) และเปิดให้เข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมกิจกรรมเวิร์กชอปและเวทีเสวนาจากบุคคลหลากหลายวงการตลอดสามวันเต็ม

ในงานนี้ได้รับเกียรติจาก คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานเปิดงานเปิดเผยว่า “รัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยขอสนับสนุนให้สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) ยังคงแสดงบทบาทสำคัญสำหรับการรวมพลังของภาคเอกชนไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยและโลก ไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน”
“แนวคิดเรื่อง SDGs ทั้ง 17 ข้อ ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2000 โดยมีการคาดการณ์ว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นแตะ 8,000 ล้านคน ภายในไม่กี่ทศวรรษ ในขณะที่ทรัพยากรธรรมชาติยังคงมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนเพียงร้อยละ 18 แต่ยังมีโอกาสและเวลาในการเร่งมือเพื่อบรรลุเป้าหมายภายในปี 2050” นายพิชัยกล่าว
นายพิชัย ยังกล่าวชื่นชมงาน GCNT EXPO 2025 โดยระบุว่า “ถือเป็นเวทีความร่วมมือที่สะท้อนบทบาทของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และเยาวชน นำเสนอผลงานด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐสนับสนุนภาคเอกชนด้วยนโยบายที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และเน้นย้ำว่า “ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากคนยังขาดความรู้และความเข้าใจ” ดังนั้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นหัวใจสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ”

พร้อมกันนี้ คุณจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ ระบุว่า “ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โลกเผชิญกับความท้าทายหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน ความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจ หรือความเหลื่อมล้ำทางสังคม สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่อาจเพียงพอ หากปราศจากการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน ดังนั้น การนำหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาประยุกต์ใช้จึงมีบทบาทสำคัญสำหรับการสร้างประโยชน์ร่วม บริหารความเสี่ยง และผลักดันนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ยังเป็นการต่อยอดพลัง Soft Power ให้กลายเป็นแรงบันดาลใจ และแรงดึงดูดสำคัญเพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศ”
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุเพิ่มเติมว่า “รัฐบาลตระหนักถึงศักยภาพของ Soft Power เพื่อเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าสองทศวรรษ ภายใต้นโยบายคู่ขนาน (Dual Policy) ที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่ทั้งเศรษฐกิจฐานราก ผ่านการส่งเสริมอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อน 14 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมีภาคเอกชนเป็นหัวเรือหลักนำทิศทางการเปลี่ยนผ่าน ขณะที่ภาครัฐทำหน้าที่สนับสนุนให้ระบบนิเวศเอื้อต่อความก้าวหน้า เพื่อให้การพัฒนาประเทศเกิดขึ้นอย่างครอบคลุม ยั่งยืน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังในทุกมิติ”

คุณศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) และประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ระบุว่า “การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ต้องอาศัยการเปลี่ยนผ่าน 7 ด้าน (7 Transformations) ครอบคลุมธรรมาภิบาล การพัฒนาคน การยกระดับดิจิทัล การศึกษาที่เท่าเทียม เศรษฐกิจโปร่งใส การมีส่วนร่วมของเยาวชน และความมั่นคง”
ด้านธรรมาภิบาล และการพัฒนา คุณศุภชัยระบุว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. มีบทบาทสำคัญผลักดันบริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ผ่าน ESG Ratings ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 1,200 บริษัท ถือเป็นการใช้กลไกตลาดสร้างความโปร่งใสและแข่งขันกันทำความดี พร้อมเสนอเร่งพัฒนา e-Government และส่งเสริม Digital ID กับ Cashless Society เพื่อลดเศรษฐกิจใต้ดินซึ่งคิดเป็นกว่า 50% ของ GDP
ด้านการพัฒนาคน พร้อมกันนี้คุณศุภชัยขอบคุณไปยังยูนิเซฟที่สนับสนุนข้อมูลทุนมนุษย์ และเน้นว่าทุกคนควรเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ พร้อมปลูกฝัง Growth Mindset และการเรียนรู้ตลอดชีวิต สมาคมฯ ยังได้ต้อนรับเยาวชนจากหลากหลายสถาบัน และประกาศความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดตั้งหลักสูตรบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืน พร้อมขยายผลสู่มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ยังเสนอจัดตั้ง Learning Centers ทั่วประเทศ เพื่อปลูกฝังเป้าหมาย SDGs แก่เยาวชนผ่านการเรียนรู้ที่ลงมือทำจริง พร้อมระดมสมาชิกและภาคการศึกษาพัฒนานวัตกรรมจากชุมชน ปลุกพลัง Soft Power อย่างแท้จริง
คุณศุภชัยสรุปว่า ประเทศไทยต้อง “พลิก” วิกฤตเป็นโอกาส “ฟื้นฟู” ความเชื่อมั่น “ขจัด” ความเหลื่อมล้ำ “เปลี่ยนผ่าน” สู่ธุรกิจยั่งยืน “สานต่อ” โลกที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ “ส่งต่อ” อนาคตที่ดีกว่าให้คนรุ่นใหม่ บนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดตั้งหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ เพี่อความยั่งยืน นําร่องกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สร้างบุคลากรที่พร้อมทั้งความสามารถ ประสบการณ์ และจริยธรรม พร้อมขยายผลสู่มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
ภายในงานยังได้รับเกียรติจากผู้นำองค์กรชั้นนำของประเทศจากหลากหลายอุตสาหกรรม ขึ้นเวทีร่วมถ่ายทอดวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง สะท้อนบทบาทของภาคเอกชนในฐานะพลังขับเคลื่อนสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่อนาคตที่สมดุลทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยแต่ละท่านได้นำเสนอแนวคิด นวัตกรรม และบทเรียนจากการลงมือทำจริง ซึ่งล้วนเป็นแรงบันดาลใจและจุดประกายให้ทุกภาคส่วนเร่งเดินหน้าสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน

เริ่มจาก คุณสมเจตนา ภาสกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสด้านพัฒนาความยั่งยืน เครือเจริญโภคภัณฑ์ ระบุว่า กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของเครือซีพีมุ่งเน้นภายใต้กรอบ “3Hs: Heart, Health, Home” ซึ่งทำหน้าที่เป็นเข็มทิศกำหนดทิศทางให้กับทั้ง 8 กลุ่มธุรกิจหลักของเครือในการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายสำคัญในระบบห่วงโซ่อุปทาน เรื่อง “Carbon Neutrality” และ “Net Zero” ที่เครือฯ ได้ศึกษาและวางรากฐานตลอด 4 ปีที่ผ่านมา พบว่าเพียงแค่สามารถลดคาร์บอนลงได้ปีละ 10% ในแต่ละกระบวนการ จะสามารถแปลงเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ถึง 63 ล้านบาท และหากสามารถขยายผลให้คู่ค้าลดคาร์บอนได้เช่นกัน ผลลัพธ์ก็จะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
คุณสมเจตนา ยังระบุข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการลงทุนและการปรับตัวขององค์กรให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ว่า “จำเป็นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนภายใต้ Framework 5 ข้อ ได้แก่ 1) ความโปร่งใส (Transparency) 2) การใช้กลไกตลาด (Market Mechanism) 3) ภาวะผู้นำและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Leadership & Talents) 4) การเสริมพลังให้กับพันธมิตร (Empowerment) และ 5) การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Technology)”
คุณสมเจตนาเน้นย้ำว่า “การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันต้องมุ่งให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม (Stakeholders) เห็นถึงศักยภาพขององค์กรในการบริหารความเสี่ยงตลอดห่วงโซ่คุณค่า การเพิ่มประสิทธิภาพ และการขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างจริงจัง พร้อมทั้งยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเครือซีพีที่ดำเนินการตามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตรทางธุรกิจ และวางรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”

มร.ซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถ่ายทอดวิสัยทัศน์เรื่อง “การใช้ข้อมูลอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืน สังคม และธรรมาภิบาล” โดยระบุว่า “ข้อมูลและเทคโนโลยีไม่เพียงเป็นเครื่องมือทางธุรกิจ แต่ยังสามารถสร้างคุณูปการต่อโลกและผู้คนได้อย่างลึกซึ้ง ภายใต้แนวคิด “Data for a Greener Planet” โดยกลุ่มทรเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดผ่านการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนเสาสัญญาณกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ ควบคู่การใช้ AI เพื่อบริหารจัดการพลังงานอย่างชาญฉลาด ช่วยลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึงครึ่งหนึ่ง และลดการปล่อยคาร์บอนลงได้กว่า 14,000 ตันต่อปี พร้อมตั้งเป้าหมายสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral ในปี 2030 และ Net Zero ภายในปี 2050”
“ในมิติสังคม กลุ่มทรูใช้ข้อมูลการเดินทางแบบไม่ระบุตัวตน (Mobility Data) ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองรอง ลดผลกระทบจากปริมาณนักท่องเที่ยวเกินขนาด และเคยนำมาใช้วางแผนการแจกจ่ายวัคซีนช่วงโควิดอย่างแม่นยำ ขณะที่ด้านธรรมาภิบาล ทรูพัฒนา AI บนหลักความโปร่งใส เคารพสิทธิส่วนบุคคล และความเป็นธรรมทางวัฒนธรรม โดยมี Mari-AI แชทบอตเป็นตัวอย่างของระบบที่ให้บริการกว่า 22 ล้านธุรกรรมต่อเดือน โดยไม่ขายข้อมูลลูกค้า ตอกย้ำบทบาทขององค์กรที่มุ่งใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและเท่าเทียมสำหรับทุกคน”

คุณกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ขึ้นเวที Keynote Pioneers of Purpose: Redefining Global Competitiveness Through Sustainable Food Leadership ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ ระบุว่า “ปัจจุบันองค์กรต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืนผ่าน 5 ปัจจัย เพื่อยืนหยัดในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ตั้งแต่การตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม การนำนวัตกรรมมาแปรรูปของเสียให้เกิดคุณค่า เช่น การใช้เปลือกไข่ผลิตปุ๋ยชีวภาพ และการนำน้ำมันใช้แล้วจากร้านห้าดาวมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ ไปจนถึงการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น (Glocalization) การขับเคลื่อนผ่านความร่วมมือทุกภาคส่วน และการยึด “คน” เป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลง โดยย้ำว่าความยั่งยืนต้องฝังอยู่ใน DNA ขององค์กร ไม่ใช่เพียงเป้าหมายปลายทาง แต่คือการลงมือทำด้วยใจ และเดินไปด้วยกันอย่างมีพลัง เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง”

คุณศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CP AXTRA ระบุถึงเป้าหมายความยั่งยืนที่เกี่ยวเนื่องกับขยะ หรือเป้าหมาย SDG 12 การบริโภค และการผลิตที่ยั่งยืน ว่า “การจัดการขยะ โดยเฉพาะขยะอาหาร เป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญของทั้งประเทศไทยและโลก โดยขยะอาหารทั่วโลกมีมากถึง 1,000 ล้านตันต่อปี และในประเทศไทยสูงถึง 1 ล้านตันต่อปี ซึ่งยังไม่รวมขยะประเภทอื่น ๆ ที่เกิดจากกระบวนการผลิตและจำหน่ายสินค้า การเปลี่ยนมุมมองจาก “ขยะ” ให้กลายเป็น “โอกาส” จึงเป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน ซึ่ง CP Axtra ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการขยะในห่วงโซ่อุปทานอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่ “ต้นน้ำ” คือกลุ่มเกษตรกรพันธมิตรกว่า 2,000 ราย ไปจนถึง “ปลายน้ำ” ที่สาขาของ Makro และ Lotus’s กว่า 2,600 แห่งทั่วประเทศ พร้อมตั้งเป้าหมายชัดเจนในการลดขยะอาหารที่จะลงสู่หลุมฝังกลบให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030”
สำหรับการจัดการขยะพลาสติก นางศิริพรระบุว่า “CP AXTRA ร่วมมือกับพันธมิตรพัฒนาโครงการ Refill Station เพื่อลดการใช้บรรจุภัณฑ์ใหม่ พร้อมตั้งจุดรับคืนพลาสติกใช้แล้ว และยังได้ออกแบบยูนิฟอร์มพนักงานจากขวดพลาสติกรีไซเคิล เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการหมุนเวียนทรัพยากรในทุกขั้นตอน ซึ่งหากไม่เริ่มวันนี้ ขยะไม่มีทางเป็นศูนย์ได้ แต่ถ้าเราร่วมกันลงมือ ขยะก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป”



