ประเดิมติวเข้ม! เครือซีพีสานต่อโครงการ “ซีพีสานฝัน ปันโอกาส สู่ผู้นำรุ่นใหม่ One Young World” สนับสนุนรุ่นใหม่บนเวทีระดับโลก ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 เสริมองค์ความรู้ตัวแทนผู้นำรุ่นใหม่ใน 5 ประเด็นสำคัญรับความท้าทายโลก เตรียมความพร้อมก่อนเดินทางร่วมเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก One Young World Summit 2025

วันที่ 30 กันยายน 2568 เครือเจริญโภคภัณฑ์ และบริษัทในเครือฯ เชื่อมั่นพลังคนรุ่นใหม่ สนับสนุนตัวแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่จากกลุ่มธุรกิจในเครือซีพีรวม 20 คนเข้าร่วม One Young World 2025 Summit เวทีการประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3–6 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองภายใต้แนวคิด “Brave the Future For a Better Tomorrow กล้าก้าวสู่อนาคต เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” ร่วมกับผู้นำเยาวชนกว่า 190 ประเทศ โดยเป็นการรวมตัวกันเพื่อแสวงหาความร่วมมือและร่วมแก้ปัญหาวาระเร่งด่วนของโลกใน 5 ประเด็นสำคัญคือ Circular Economy: เศรษฐกิจหมุนเวียน, Anti-Hate: การต่อต้านความเกลียดชัง, Responsible Tech: เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ, Education: การเข้าถึงการศึกษา และ Peace & Security: สันติภาพและความมั่นคง

โอกาสนี้ เครือซีพีได้จัดการเตรียมความพร้อมเสริมองค์ความรู้ให้กับตัวแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่จัดกิจกรรม One Young World 2025 Pre-Summit ด้วยการศึกษาดูงาน ณ โรงงานนครหลวง CPI โรงงานอัตโนมัติควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งระบบ และโรงงาน CP-Meiji สระบุรี ศูนย์การเรียนรู้กระบวนการผลิตนมและโยเกิร์ตแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย พร้อมกันนี้ยังได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญใน 5 ประเด็นที่เป็นวาระหลักของการประชุมในครั้งนี้ มาถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ เพื่อให้ตัวแทน 20 คนรุ่นใหม่ได้นำความรู้ไปแลกเปลี่ยนมุมมองกับเยาวชนจากทั่วโลก

ผศ.ดร.พรพรหม สุธาทร ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการเปลี่ยนแปลง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) หนึ่งในวิทยากรที่มาให้ความรู้ประเด็น “Circular Economy: เศรษฐกิจหมุนเวียน” ได้ฉายภาพให้เห็นถึงความสำคัญของความยั่งยืนในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของวิกฤตสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อธุรกิจและสังคม พร้อมชี้ให้เห็นว่าโลกกำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรง ซึ่งนำไปสู่ผลกระทบมากมาย เช่น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภาคธุรกิจและสังคมจึงต้องปรับตัวเพื่อความยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) พร้อมกับที่ธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้พลังงานสะอาด การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาค และผศ.ดร.พรพรหมยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชนว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศและสร้างความยั่งยืนอีกด้วย “ความยั่งยืนไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอนาคต ธุรกิจและสังคมต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนและน่าอยู่สำหรับทุกคน” ผศ.ดร.พรพรหม สุธาทร กล่าวปิดท้าย

คุณสุภาณี พงษ์เรืองพันธุ์ ที่ปรึกษาด้านความเท่าเทียมทางเพศและการมีส่วนร่วมทางสังคม โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประจำประเทศไทย วิทยากรที่มาให้ความรู้ประเด็น “Anti-Hate: การต่อต้านความเกลียดชัง” กล่าวว่า แม้ทั่วโลกจะมีการตื่นตัวด้านการต่อต้านความเกลียดชัง แต่จากข้อมูลระบุว่า สหรัฐอเมริกาเกิดเหตุการณ์สร้างความเกลียดชังสูงถึง 11,679 ครั้ง และมีเหยื่อจากเหตุดังกล่าวกว่า 14,243 คน เช่นเดียวกับที่สหราชอาณาจักรที่เหตุอาชญากรรมจากความเกลียดชังถึง 140,561 คดี ในปีที่ผ่านมา ซึ่งหากพิจารณาจากเหตุที่เกิดขึ้นทั่วโลกยังถือว่ามีความน่าเป็นห่วงอยู่มาก คุณสุภาณีจึงจัดกิจกรรมเวิร์คชอปให้เหล่าตัวแทนทุกคนได้ลองคิดวิเคราะห์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในสถานการณ์จำลองแบบต่างๆ เพื่อให้เห็นถึงความเลวร้ายไปพร้อมกับมิติที่หลากหลายของความเกลียดชัง พร้อมเสนอแนะ The 5 D’s: Tools for Action” 5D เครื่องมือในการลงมือช่วยเหลือหรือรับมือกับสถานการณ์ไม่เหมาะสมหรือความเกลียดชัง เช่น การคุกคามหรือการกลั่นแกล้ง ได้แก่ 1. Direct (ตรงไปตรงมา) เผชิญหน้ากับพฤติกรรมโดยตรง พูดออกมาให้ชัดเจนเพื่อบอกว่าพฤติกรรมนั้นไม่เหมาะสม 2. Distract (เบี่ยงเบน) สร้างสิ่งเบี่ยงเบนเพื่อหยุดหรือเปลี่ยนบรรยากาศของสถานการณ์ 3. Delegate (ขอความช่วยเหลือ) ขอความช่วยเหลือจากผู้มีอำนาจหรือผู้ที่สามารถจัดการได้ 4. Delay (ติดตามภายหลัง) เข้าไปดูแลหรือสอบถามผู้ที่ตกเป็นเป้าหลังเหตุการณ์ 5. Document (บันทึกเหตุการณ์) บันทึกเหตุการณ์ไว้อย่างปลอดภัยเพื่อเป็นหลักฐานในภายหลัง เพื่อเป็นเครื่องมือให้เยาวชนนำไปรับมือกับสถานการณ์ความเกลียดชังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานกลยุทธ์องค์กรและด้านการศึกษา ทรู คอร์ปอเรชั่น วิทยากรในหัวข้อ “Education: การเข้าถึงการศึกษา” เปิดเผยว่า อันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน “ด้านการศึกษา” ที่จัดโดย IMD World Competitiveness Center หน่วยงานที่ทำวิจัยเรื่องความสามารถในการแข่งขันในด้านต่างๆ ของประเทศทั่วโลก ระบุว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับ 55 จาก 69 ประเทศ ในปี 2025 เครือซีพีตระหนักดีว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืน จึงนำเสนอ 5 ยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาและโครงการต่าง ๆ ที่เครือซีพีร่วมผลักดันให้สังคมไทยเป็น “สังคมแห่งการเรียนรู้ ” อาทิ โครงการทรูปลูกปัญญา และมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี ได้แก่ 1. การเปิดเผยข้อมูลโรงเรียนสู่สาธารณะอย่างโปร่งใส 2. กลไกตลาดและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม ทั้งภาครัฐ เอกชน ผู้นำรุ่นใหม่ 3. การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน 4. เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ 5. การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของสถานศึกษา “เพราะการศึกษาไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน”

คุณนพปฎล ประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ แผนกพัฒนาบริการใหม่ ทรู คอร์ปอเรชั่น วิทยากรในหัวข้อ Responsible Tech: เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ กล่าวถึงภัยอันตรายและผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยี และความเสี่ยงต่อสุขภาวะและความยั่งยืน ทั้งด้านสุขภาพจิต สิ่งแวดล้อม และความไว้วางใจในสังคมระยะยาว เพื่อรับมือภัยจากการใช้เทคโนโลยี คุณนพปฎล ได้ชี้ให้เห็นว่า เทคโนโลยีมีสองด้าน เทคโนโลยีสามารถสร้างประโยชน์มหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็อาจนำมาซึ่งความเสี่ยง เช่น ปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว การใช้งานในทางที่ผิด หรือผลกระทบทางจริยธรรม ดังนั้นเราควรตระหนักถึงทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ขอให้ยึดมั่นในหลักการ เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลักการ (Principles) คือสิ่งที่ช่วยเป็นเข็มทิศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริยธรรม ความโปร่งใส หรือความยุติธรรม หลักการเหล่านี้จะช่วยกำหนดทิศทางและตัดสินใจได้อย่างมั่นคง และต้องมีกรอบแนวคิด (Frameworks) กับ กฎระเบียบ (Regulations) การพัฒนาเทคโนโลยีต้องเผชิญกับความท้าทายระหว่างการใช้กรอบแนวคิดที่ยืดหยุ่น เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดนวัตกรรม กับกฎระเบียบที่เข้มงวด เพื่อความปลอดภัยและการปฏิบัติตาม การสร้างสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญ พร้อมกับเน้นย้ำบทบาทของคนรุ่นใหม่ในฐานะผู้เปลี่ยนแปลง (Changemakers) ประเด็นสุดท้ายคือการหันกลับมาที่ผู้ฟัง ว่าทุกคนมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของเทคโนโลยี เราไม่ใช่เพียงผู้ใช้ แต่ยังเป็นผู้ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้

ผศ.ดร.ไพลิน กิตติเสรีชัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยากรในหัวข้อ “Peace & Security: สันติภาพและความมั่นคง” เริ่มต้นด้วยการแลกเปลี่ยนหรือสะท้อนมุมมองแรกที่ผู้เข้าร่วมมีต่อคำว่า “ความมั่นคง/ความปลอดภัย” เพื่อเปิดประเด็นและทำความเข้าใจพื้นฐานร่วมกัน ก่อนจะฉายภาพให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง ความมั่นคงในมิติแบบดั้งเดิม เช่น การป้องกันประเทศ การทหาร ความมั่นคงทางกายภาพ และความมั่นคงในมิติใหม่ ๆ เช่น สิ่งแวดล้อม สุขภาพ มนุษยธรรม ความมั่นคงทางไซเบอร์ เป็นต้น และมีกิจกรรมเชิงปฏิบัติให้ตัวแทนผู้นำรุ่นใหม่ได้ร่วมวิเคราะห์กรณีศึกษาเพื่อนำแนวคิดเรื่องความมั่นคงทั้งสองแบบมาประยุกต์ใช้ได้จริง

ทั้งนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เดินหน้าสานต่อโครงการ “ซีพีสานฝัน ปันโอกาส สู่ผู้นำรุ่นใหม่ One Young World” ด้วยความมุ่งมั่นที่จะปั้นผู้นำรุ่นใหม่บนเวทีระดับโลก ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 พร้อมส่ง 20 ตัวแทนเยาวชนจากหลากหลายกลุ่มธุรกิจขึ้นเวที One Young World Summit 2025 การประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อเปิดประสบการณ์ผู้นำรุ่นใหม่บนเวทีสำคัญระดับโลก แสวงหาความร่วมมือและร่วมแก้ปัญหาวาระเร่งด่วนของโลก สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้โลก  และได้มีโอกาสร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้นำเยาวชนจากทั่วโลก