ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม รากฐานที่มั่นคง…สู่การกำกับดูแลกิจการที่ดี

ธรรมาภิบาล หรือ Corporate Governance เป็นเสาหลักที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ยึดมั่นในการประกอบธุรกิจ ส่งผลให้เครือเจริญโภคภัณฑ์เติบโตยั่งยืนยาวนานจนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลา 1 ศตวรรษ และค่านิยมของเครือฯประการที่ว่า “ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม” ก็เป็นรากฐานที่มั่นคงซึ่งนำไปสู่การกำกับดูแลกิจการที่ดี จนล่าสุด Ethisphere สถาบันชั้นนำระดับโลกในการกำหนดและพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติทางธุรกิจที่มีจริยธรรม ได้ประกาศให้เครือเจริญโภคภัณฑ์เป็น 1 ใน 135 บริษัททั่วโลกที่ได้เป็น “บริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลก”

CG Voice ฉบับนี้ ขอนำทุกท่านมาพูดคุยกับ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เกี่ยวกับเรื่องการกำกับดูแลกิจการของเครือเจริญโภคภัณฑ์ รวมไปถึงแนวปฏิบัติที่ดีด้านการมีจริยธรรมขององค์กร บนความเชื่อที่ว่า “ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม…รากฐานที่มั่นคง สู่การกำกับดูแลกิจการที่ดี”

CG Voice  : เครือเจริญโภคภัณฑ์มีวิสัยทัศน์ด้านการกำกับดูแลกิจการในการดำเนินธุรกิจอย่างไร

คุณศุภชัย เครือเจริญโภคภัณฑ์ทำธุรกิจอย่างมีจริยธรรมตามค่านิยมองค์กรที่ยึดมั่นและปฏิบัติมาเป็นเวลา 100 ปี  รวมถึงยึดหลักการกำกับดูแลกิจการเป็นเสาหลักในการประกอบธุรกิจ เพราะเชื่อมั่นว่า นี่คือรากฐานสำคัญที่จะนำธุรกิจไปสู่การเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหลักคิดของเครือฯมาตั้งแต่ยุคบุกเบิกธุรกิจ

เราทราบกันดีว่าร้าน “เจียไต๋ จึง”ต้นกำเนิดธุรกิจของเครือฯ ที่จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผัก เป็นผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักรายแรกของไทยที่พิมพ์วันหมดอายุไว้บนซอง แสดงให้เห็นว่าบรรพบุรุษผู้บุกเบิกธุรกิจของเครือซีพีให้ความสำคัญกับ “ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม” ถ้าหากเกษตรกรซื้อไปแล้วพบว่าหมดอายุสามารถนำมาคืนได้ หรือ ซื้อไปแล้วหมดอายุปลูกไม่ขึ้นก็นำมาคืนได้   ทั้งยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่เครือฯ

จวบจนปัจจุบัน เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยจริยธรรม การกำกับดูแลกิจการมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง วิสัยทัศน์การกำกับดูแลกิจการของเครือฯ คือ “สร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งทางธุรกิจและสังคมในทุกมิติ บนพื้นฐานของค่านิยมของเครือเจริญโภคภัณฑ์ด้านคุณธรรมและความซื่อสัตย์ มุ่งมั่นที่จะเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐานความโปร่งใส แสวงหาแนวทางการสร้างคุณค่าร่วมกันกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย”

CG Voice : ในฐานะ CEO ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ท่านมีมุมมองอย่างไรต่อการได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 135 บริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลกจาก Ethisphere ประจำปี 2564

คุณศุภชัย  : การที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้รับพิจารณาจาก Ethisphere ให้เป็นบริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลก ถือเป็นความก้าวหน้าของการกำกับดูแลกิจการของเครือฯ และเป็นไปตามความมุ่งหมายของท่านประธานอาวุโสธนินท์ เจียรวนนท์ และท่านประธานกรรมการสุภกิต เจียรวนนท์ ตลอดจนคณะกรรมการบรรษัทภิบาล รวมถึงซีอีโอของทุกบริษัทในเครือฯ ที่ต้องการยกระดับพัฒนาการด้านการกำกับดูแลกิจการของเครือฯ

นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่ามาตรฐานด้านการกำกับดูแลกิจการของเครือฯโดยเฉพาะด้านการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมของเครือฯนั้นเป็นที่ยอมรับและประจักษ์ต่อสายตาทุกคนบนเวทีระดับโลก แต่กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ไม่ง่ายนัก หากไม่ได้รับการสนับสนุน ความทุ่มเทและความร่วมมือร่วมใจจากพนักงานทุกคนในเครือฯ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงความไว้วางใจและการยอมรับจากคู่ค้า นักลงทุน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ร่วมกันขับเคลื่อนกลไกด้านการกำกับดูแลกิจการและการกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ขององค์กรให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล ถือเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จของทุกคนในเครือฯในโอกาสที่ครบรอบการดำเนินธุรกิจ 100 ปี

แต่อย่างไรก็ตามดังที่ท่านประธานอาวุโสกล่าวเสมอว่า “ความสำเร็จดีใจได้วันเดียว” ดังนั้นก้าวต่อไปยังเต็มไปด้วยความท้าทายของเครือฯที่ต้องรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพด้านการกำกับดูแลกิจการให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ในฐานะซีอีโอ ขอตอกย้ำว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์จะมุ่งมั่นประกอบธุรกิจด้วยหลักจริยธรรม ยึดมั่นในความซื่อสัตย์และมีคุณธรรม ประพฤติตนเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมในทุกประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ

CG Voice : จุดเด่นใดที่ทำให้เครือซีพีได้รับการคัดเลือกจาก Ethisphere องค์กรประเมินจริยธรรมทางธุรกิจที่ได้รับการยอมรับในบริษัทชั้นนำทั่วโลก

คุณศุภชัย  : คงไม่มีหลักการใดเพียงหลักการเดียวที่เป็นเหตุผลของการประสบความสำเร็จทางธุรกิจ รวมถึงการที่เครือฯได้รับคัดเลือกจาก Ethisphere ให้เป็นบริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลกนั้น ก็เกิดขึ้นจากการบูรณาการและการประยุกต์ใช้หลักการที่เป็นมาตรฐานทั้งในระดับประเทศและสากล รวมถึงความเหมาะสมภายใต้บริบทของธุรกิจที่แตกต่างกันถึง 8 สายธุรกิจเข้าด้วยกัน ประกอบกับการใช้เวลาในปลูกฝังแนวคิดจนเกิดเป็นค่านิยมและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลายเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่เป็นแบบฉบับของเครือฯ คือ การวางรากฐานด้วยค่านิยม “3 ประโยชน์” ที่มุ่งสร้างสรรค์ประโยชน์แก่ประเทศชาติ สังคมและบริษัท พร้อมกับน้อมนำหลักปรัชญาเศรฐกิจแบบพอเพียงและการนำระบบบริหารจัดการซีพีสู่ความเป็นเลิศเข้ามาประยุกต์ใช้ โดยแนวทางการดำเนินธุรกิจเหล่านี้อยู่บนพื้นฐานของหลักการกำกับดูแลกิจการ และการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับและมาตรฐานต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน

หลักการเหล่านี้เป็นสิ่งที่เครือฯ ให้ความสำคัญและใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจมาจนถึงปัจจุบัน และพยายามผลักดันให้เห็นผล อย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าต้องประสบกับความท้าทายและวิกฤตจากการเปลี่ยนแปลงของโลกมาตลอด  แต่หลักการที่เครือฯ ยึดถือก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การเดินทางของเครือฯ อยู่ในลู่ทางที่ถูกต้อง พร้อมที่จะก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ผมเชื่อว่า Ethisphere เน้นว่า เครือฯ มีกระบวนการกำกับดูแลกิจการที่ดี และการกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและเป็นระบบ มีการปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง มีขั้นตอนการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมและติดตามวัดผลได้สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เครือฯ พัฒนาขึ้นและขับเคลื่อนกระบวนการเหล่านี้ให้ครอบคลุมในทุกธุรกิจและทุกประเทศที่เครือฯ ดำเนินกิจการอยู่

CG Voice : จากการที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้รับการคัดเลือกจาก Ethisphere เป็นปีแรก ผลสำเร็จนี้จะส่งผลต่อการสร้างความตระหนักรู้ (awareness) ในด้านจริยธรรมและการกำกับดูแลกิจการของเครือฯให้มากขึ้นหรือดียิ่งขึ้นได้อย่างไร

คุณศุภชัย : จากความน่ายินดีในเรื่องนี้ สิ่งแรกที่ผมดำเนินการคือ การกล่าวขอบคุณและชื่นชมทีมงานที่ดูแลรับผิดชอบและมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เพราะทุกคนทำงานด้วยความทุ่มเทเพื่อให้ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ซึ่งเป็นสร้างขวัญและกำลังใจที่ดี

นอกจากนี้ ผมได้ประกาศให้ผู้นำของเครือฯ จากทุกบริษัททั้งในประเทศไทยและทั่วโลกได้รับรู้ร่วมกันบนเวทีประชุมประจำปีของเครือฯ “C.P. Group Vision”  ซึ่งเวทีนี้มีผู้นำจากทุกบริษัทในเครือทั่วโลกกว่า 500 คน จึงเป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะได้รับทราบถึงย่างก้าวแห่งความสำเร็จ และความท้าทายในก้าวต่อไปที่ทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อทำให้องค์กรของเราเป็นองค์กรที่ยั่งยืนบนรากฐานของการมีจริยธรรมที่ดี ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้นำทุกคนของเครือฯ ในทุกประเทศทั่วโลกจะเกิดความตระหนักรู้ถึงสิ่งสำคัญที่เครือฯ กำลังขับเคลื่อนอยู่ซึ่งก็คือ การกำกับดูแลกิจการที่ดีนั่นเอง

เราได้สร้างสรรค์วัฒนธรรมองค์กรที่ปลูกฝังจิดสำนึกในการดำเนินธุรกิจด้วยคุณธรรม จริยธรรม ผ่านการสื่อสาร การให้ความรู้เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และสนับสนุนให้เกิดการนำไปปฏิบัติจนเกิดเป็นพฤติกรรม

ในปี 2563 ที่ผ่านมา ในด้านการสร้างวัฒนธรรมองค์กรเพื่อนำไปสู่การเป็นองค์กรที่มีจริยธรรมที่ดีนั้น เครือฯ ได้บูรณาการการกำกับดูแลกิจการ การบริหารความเสี่ยง และการกำกับดูแลกิจการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ มีการสื่อสารให้ความรู้ในเรื่องต่างๆ ไปยังผู้บริหารและพนักงานอย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนให้สามารถเรียนรู้ได้จากทุกที่ เช่น การฝึกอบรมแบบออนไลน์ การเรียนรู้ผ่าน Mobile Application ซึ่งทำให้พนักงานในเครือทั่วโลกได้เรียนรู้และผ่านการทดสอบจรรยาบรรณธุรกิจ 100 เปอร์เซ็นต์ในปี 2563

CG Voice  : ก้าวต่อไปของเครือซีพีสู่ศตวรรษใหม่  เครือฯ มีเป้าหมายและแนวทางการดำเนินงานด้านจริยธรรมทางธุรกิจเพื่อนำพาองค์กรสู่ความยั่งยืนอย่างไร

คุณศุภชัย  : เป็นที่ทราบกันดีว่า ผมมีภารกิจสำคัญที่ได้ปฏิญาณไว้ตั้งแต่รับตำแหน่งซีอีโอ คือ การนำเครือเจริญโภคภัณฑ์ติด 20 ลำดับแรกด้านความยั่งยืนระดับโลก  นี่คือเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่ผมมุ่งมั่นตั้งใจและต้องไปให้ถึง  เครือฯ จึงมียุทธศาสตร์ความยั่งยืนภายใต้กรอบ 3 Hs ได้แก่ Heart – Living Right,  Health – Living Well และ Home – Living Together เป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ส่งเสริมหลักการและระบบดำเนินงานต่างๆ ที่เครือฯ ริเริ่ม หรือ บูรณาการเข้ามา ซึ่งการกำกับดูแลกิจการเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของเครือฯ ที่อยู่ภายใต้กรอบ H-Heart นั่นเอง

เราได้วางโครงสร้างการกำกับดูแลกิจการและกรอบการบริหารจัดการนโยบายเพื่อให้เกิดการกำกับดูแลทั่วทั้งเครือเป็นระบบเดียวกันรวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกในการดำเนินธุรกิจด้วยคุณธรรม จริยธรรม

เครือเจริญโภคภัณฑ์ จะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้แก่องค์กรในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่มีธรรมาภิบาลหรือการกำกับดูแลกิจการที่ดี และผมถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้บริหารและพนักงานทุกคนที่จะต้องรักษามาตรฐานด้านธรรมาภิบาลเอาไว้ให้ได้อย่างเหนียวแน่น เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้องค์กรของเรา เพื่อให้องค์กรของเราได้สร้างสรรค์สิ่งดีงามและประโยชน์ต่อส่วนรวมตามค่านิยม 3 ประโยชน์ที่เป็นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของเรา

CG Voice : การที่ภาคธุรกิจเอกชนหันมาให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนจริยธรรมทางธุรกิจจะช่วยส่งเสริมและยกระดับเศรษฐกิจไทยอย่างไร

คุณศุภชัย : ปัจจุบันเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์ที่วิทยาศาสตร์ ข้อมูล เทคโนโลยี กำลังเปลี่ยนแปลงโลก และสร้างโอกาสใหม่ในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ ด้วย คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ แต่เราทุกคนสามารถที่มีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อกำหนดอนาคตที่เราต้องการ

การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งต้องควบคู่ไปกับการเป็นองค์กรที่ดี (Good Corporate Citizens) ที่มีส่วนร่วมในการสร้างแนวปฏิบัติทางธุรกิจที่ดีขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ด้วยการปฏิบัติตามมาตรฐานที่ดีที่สุดในระดับโลก ไม่ใช่แค่ทำตามกฎและข้อบังคับเท่านั้น

ในมุมมองของผม ความรับผิดชอบต่อสังคมและการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม เป็นรากฐานสำคัญของทุกสิ่งที่เราลงมือทำหรือตั้งใจจะทำในอนาคต ซึ่งต้องเริ่มจากตัวเราในระดับบุคคลก่อนจะแผ่ขยายไปยังผู้คนรอบตัว ธุรกิจที่มีจริยธรรมจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้แข็งแกร่ง

ภาคธุรกิจเอกชนถือเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ หากภาคธุรกิจมีผลประกอบการที่ดี  ก็จะมีผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ  ปัจจัยที่จะทำให้องค์กรมีผลประกอบการที่ดี คือ การดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม เนื่องจากจริยธรรมเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มให้การยอมรับและไว้วางใจ ซึ่งนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร ในที่สุดแล้วก็จะช่วยส่งเสริมและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ก้าวไกลนั่นเอง

ที่มา : วารสาร CG Voice Issue 04