“สบขุ่นโมเดล” จากขุนเขาสู่การปกป้องโลก อีกภารกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ส่งเสริมชุมชนลดก๊าซเรือนกระจกและช่วยกักเก็บคาร์บอน

ปัญหาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย เป็นปัญหาสำคัญของโลก และนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากยังปล่อยให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้น และกลายเป็นปัญหาหมักหมมทั้งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อาจต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  หรือ  Climate Change  ที่สายเกินแก้ได้

ปัจจุบัน ประชากรโลกหันมาให้ความสำคัญ และเห็นปัญหาพร้อมก้าวออกมาส่งเสียงกระตุ้นจิตสำนึกผ่านกิจกรรมโครงการต่างๆ โดยภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการก้าวมาอยู่แถวหน้าและเชิญชวนให้ทุกคนร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นหนึ่งในเอกชนภาคเอกชน ที่ตระหนักและให้ความสำคัญ โดยได้เข้าไปส่งเสริมและให้ความรู้ชาวชุมชน ให้ตระหนักและรักผืนป่าที่เป็นเสมือนบ้านของพวกเขา อย่างเช่นที่ หมู่บ้านสบขุ่น  อ.ท่าวังผา จ.น่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เครือฯเข้าไปส่งเสริม และเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่แห่งการสร้างป่า ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาเป็นเวลา 5 ปี แล้ว ภายใต้โครงการ “สบขุ่นโมเดล”

วันนี้ความมุ่งและตั้งใจ ของชาวชุมชน และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว โดยเมื่อเร็วๆ นี้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ประกาศเกียรติคุณว่า โครงการ “สบขุ่นโมเดล กาแฟสร้างป่า กักเก็บคาร์บอน” ที่เครือฯ เข้าไปให้การสนับสนุน สามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 5,059.534 tCo2cq ซึ่งคำนวนจากพื้นที่ป่าจากการวัดค่าเฉพาะไม้ป่าหรือไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ที่สามารถกักเก็บค่าบอนไดออกไซด์ได้จริงและมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่เครือฯ เข้าไปส่งเสริมการจำนวน 420 ไร่ ตั้งแต่วันที่  9 มิถุนายน 2560 ถึงวันที่ 29 มีนาคม 2563  สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือของชุมชนบ้านสบขุ่นและภาคเอกชนอย่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่สามารถพลิกฟื้นผืนป่ากลับมาได้สำเร็จ และคาดว่าพื้นที่ป่าจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ในอนาคต

สบขุ่น หมู่บ้านจากขุนเขาสู่การกักเก็บคาร์บอน

‘บ้านสบขุ่น’ หมู่บ้านเล็กๆ บนขุนเขาที่ห่างไกล อ.ท่าวังผา จ. น่าน จากอดีตที่เคยแห้งแล้งปัจจุบันกลายเป็นผืนป่าต้นน้ำที่ชุ่มชื้น ด้วยความตั้งใจจริงของชาวบ้านสบขุ่นและการสนับสนุนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ต้องการจะสร้างป่าให้กลับมาอยู่คู่กับวิถีชีวิตอย่างยั่งยืน

จากจุดเริ่มต้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่ซึ่งมีอาชีพทำไร่เลื่อนลอย ได้เริ่มหันหลังให้กับสิ่งเดิม ๆ และเปิดรับสิ่งใหม่ที่สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างป่าให้กลับคืนมา ด้วยการเข้าร่วมโครงการ สบขุ่นโมเดล ที่เครือฯ เข้าไปให้องค์ความรู้ใหม่ๆ แก่ชาวบ้านในการปลูกกาแฟและพืชผสมผสาน เพื่อลดพื้นที่ป่าที่ต้องถูกทำลายจากการทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งกาแฟเป็นพืชที่ต้องการร่มเงาในการเติบโต จึงต้องปลูกไม้พี่เลี้ยงที่สร้างร่มเงา อาทิ ต้นพังแหร(ต้นปอสร้อย) ต้นมะหาด ต้นประดู่, ต้นอลาง, ต้นงิ้วป่า และต้นมะเดื่อ เพื่อทำให้เกิดการสร้างป่าไปพร้อมๆ กัน ที่นี่ทำการเกษตรกรรมแบบครอบครัว ซึ่งการปลูกกาแฟไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากเท่ากับการทำไร่เลื่อนลอยที่ต้องอาศัยการปลูกเยอะๆ เพื่อให้ได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่า ดังนั้น พื้นที่บางส่วนจึงสามารถละไว้ให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัว เรียกว่า ‘การละเหล่า’ หรือ การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก ซึ่งได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านเป็นอย่างดี

ปัจจุบันบ้านสบขุ่นสามารถสร้างป่า สร้างอาชีพให้แก่หลายครอบครัว และเชื่อมั่นว่าองค์ความรู้เหล่านี้จะส่งต่อไปยังลูกหลานของพวกเขาได้ในอนาคต ผลของความพยายามและความสามัคคีในชุมชนทำให้วันนี้สบขุ่นไม่ได้เป็นเพียงหมู่บ้านจากขุนเขาที่ปลูกกาแฟและสร้างป่า แต่บ้านสบขุ่นยังสามารถช่วยโลกด้วยการกักเก็บคาร์บอนได้อีกด้วย

ทำไมเราต้องใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น?

หมู่บ้านสบขุ่นแม้จะเป็นเพียงชุมชนเล็ก ๆ แต่ชาวบ้านก็พยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ซึ่งป่าไม้และธรรมชาติ นั่นเพราะพวกเขาตระหนักดีว่ามนุษย์กับธรรมชาติต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ในที่นี้ขอหยิบยกปัญหาที่เราทุกคนกำลังเผชิญ คือ ‘ภาวะโลกร้อน’ มาย้ำเตือนกันอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าหลาย ๆ คนคุ้นเคยและตระหนักถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ในปัจจุบันนี้เรามักจะได้ยินคำว่า ‘Climate Change’ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้ง 2 คำนี้ชี้ไปถึงปัญหาเดียวกัน คือ ปัญหาที่โลกต้องเผชิญเพราะการกระทำของมนุษย์

Climate Change คืออะไร?

Climate Change หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นคำจำกัดความในขอบเขตที่กว้างออกไปมากกว่าภาวะโลกร้อน (Global Warming) เพราะไม่ได้พูดถึงแค่อุณภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่รวมไปถึงผลกระทบของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความถี่ของภัยธรรมชาติที่มากขึ้น การละลายของธารน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็ง อากาศที่แห้งแล้งขึ้นมากส่งผลให้มนุษย์ในบางพื้นที่ต้องอพยพ สัตว์บางชนิดไม่สามารถอยู่รอดได้ เกิดไฟป่าที่ร้ายแรงเพิ่มมากขึ้นจนในบางกรณีอาจไม่สามารถฟื้นฟูป่ากลับมาได้อีก

เราจะสามารถบรรเทาวิกฤตนี้ได้อย่างไร?

‘ต้นไม้’ คือคำตอบที่ง่าย ๆ ที่สำคัญสุดที่สามารถช่วยบรรเทาปัญหานี้ลง ต้นไม้จะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเปลี่ยนเป็นก๊าซออกซิเจนออกมาแทน ช่วยบังแสงแดดทำให้เย็นสบาย อีกทั้งยังช่วยอนุรักษณ์น้ำและหน้าดิน ก่อให้เกิดต้นน้ำและระบบนิเวศที่สมดุล ลดปัญหาน้ำท่วมหรือดินถล่ม  และยังมีประโยชน์อีกมากมายที่ต้นไม้สามารถสร้างให้แก่โลก สัตว์ป่า และมนุษย์ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องทดแทนในส่วนที่เราทำลายไปไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม

ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหรืออยู่ที่ไหนก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยโลกใบนี้ได้ เพราะสิ่งเล็กๆ เมื่อประกอบรวมกันด้วยความตั้งใจและไม่ย่อท้อก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ หมดเวลาแล้วกับการรอให้ใครสักคนลุกขึ้นมาช่วยโลก เพราะนี่ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่นี่คือสิ่งที่ประชากรโลกทุกคนควรตระหนักและลงมือทำ แล้วคุณล่ะ พร้อมหรือยัง?

Cr : ทีมพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ