ในปี พ.ศ. 2568 นับเป็นปีสำคัญในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย–จีน สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพมหานคร ไทยเบฟเวอเรจ ธนาคารกรุงเทพ Huawei ZTE Midea และ Tencent นำการแสดงอุปรากรจีนแต้จิ๋วอันดับหนึ่งจากเมืองซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน “คณะกึงตังเตี่ยเกี๊ยะอี่อิ๊กท้วง” สุดยอด การแสดง “งิ้ว” มาเปิดม่านการแสดง เพื่อร่วมเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีนอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งปีนี้มาในชื่อชุดว่า “มหาอุปรากร สะท้านปฐพี” พร้อมขนทัพนักแสดงและทีมงานกว่า 80 ชีวิต ตลอดการแสดง 7 วัน ไม่ซ้ำเรื่อง สะท้อนคุณธรรมแบบจีนโบราณ ทั้งด้านความกตัญญู ความซื่อสัตย์ และ ความเสียสละ พร้อมคำบรรยายทั้งภาษาไทยและภาษาจีน ในวันที่ 10 – 16 กรกฎาคม 2568 ที่ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ไอคอน สยาม
การแสดงทั้งหมด 7 วัน 16 เรื่อง ประกอบด้วย
1. เรื่อง ยุทธภูมิ “สี่หนึ่งจิว” แสดงวันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม 2568
นำเสนอเรื่องราวของ “ตั่งเปี๊ยะเนี้ย” ตัวแทนของผู้หญิงที่เข้มแข็ง กล้าหาญ และยึดมั่นในคุณธรรม ไม่ใช่เพียงแค่เป็น “ภรรยา” ของแม่ทัพ แต่เป็น “นักรบ” ผู้มีอุดมการณ์ ความกล้า มีบทบาทสำคัญในสงคราม กับการลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อส่วนรวม แสดงถึงความกล้าหาญ ความเสียสละเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน ละวางเรื่องส่วนตัว
ในช่วงปลายราชวงศ์ซ่งใต้ เมื่อกองทัพมองโกล (ราชวงศ์หยวน) บุกรุกลงใต้ ฮ่องเต้ซ่งต้องหนีไปตั้งค่ายอยู่ที่อ่าวหยามุ่นกลางทะเล “เตียตั๊ก” ขุนพลแห่งแคว้นเฉาโจว ได้ปฏิเสธไม่ร่วมรบ เพราะหมดศรัทธาในราชสำนัก แต่ภรรยาของเขา “ตั่งเปี๊ยะเนี้ย” กลับเตือนให้คิดถึงบ้านเมืองมากกว่าความผิดหวังส่วนตัว จน “เตียตั๊ก” ยอมออกศึก แต่สงครามกลับจบลงด้วยความพ่ายแพ้ กองทัพหยวนบุกเผาค่ายซ่งและจับเตียตั๊กได้ กองทัพหยวนพยายามเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน แต่ตั่งเปี๊ยะเนี้ยกลับช่วยเหลือชาวบ้านให้หลบหนี แล้วต่อสู้กับกองทัพหยวนอย่างกล้าหาญจนวาระสุดท้ายของชีวิต
2. เรื่อง มเหสีฮั่งบุ๊ง แสดงวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568
นำเสนอเรื่องราวของ มเหสีโต้วจี ผู้ยึดมั่นในหลักการแม้จะต้องเจ็บปวดใจที่ต้องสั่งประหารชีวิตน้องชายของตนเอง แต่ก็ยังยืนกรานให้จักรพรรดิตัดสินคดีตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด แสดงถึงการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ความยุติธรรมต้องไม่ลำเอียง และผู้มีอำนาจต้องรู้แยกแยะสิ่งที่ถูกกับสิ่งที่ควร
ในช่วงต้นราชวงศ์ฮั่น พระเจ้าฮั่นเหวินตี้ทรงแต่งตั้ง “โต้วจี” เป็นมเหสี และทรงช่วยตามหา “โต้วกว่างผิง” น้องชายที่พลัดพรากกันไป 12 ปี หลังทั้งคู่ได้พบกันไม่นาน “โต้วกว่างผิง” ก็ถูกพ่อค้าเจ้าเล่ห์ออกอุบายให้ “โต้วกว่างผิง” สังหารเจ้าหน้าที่ทหาร เหตุเพราะขณะนั้นฮ่องเต้ทรงเริ่มกวาดล้างพ่อค้าที่เอาเปรียบประชาชน ทำให้ “โต้วกว่างผิง” ต้องโทษประหารชีวิต โต้วจี้ในฐานะมเหสีและในฐานะพี่สาว ต้องตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง “ความรักพี่น้อง” กับ “กฎหมายบ้านเมือง” แม้จะเสียใจมาก แต่เพื่อธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม มเหสีจึงตัดสินใจให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย ฮ่องเต้จึงได้พระราชทานยาพิษให้โต้วกว่างผิงจบชีวิตตัวเอง ซึ่งก่อนที่จะลาจากโต้วจีร่ำลาน้องชาย พร้อมเล่าถึงเรื่องราวในอดีต ชี้แจงความผิดและผลกระทบที่เกิดขึ้น จนน้องชายสำนึกผิด และยอมรับโทษอย่างสงบ
3. เรื่อง กตัญญูสู้อยุติธรรม แสดงวันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม 2568
นำเสนอเรื่องราวของ “เหี่ยเหง็กบ๊วย” ที่กล้ายืนหยัดต่อต้านการล่วงละเมิด แม้จะต้องเผชิญอันตรายและถูกใส่ร้าย แสดงถึง “เกียรติ ศักดิ์ศรี และความเข้มแข็ง” ของหญิงในสังคมโบราณ ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรม โดยยึดหลักความถูกต้อง กล้าหาญ และไม่กลัวต่ออำนาจของขุนนางผู้ใหญ่
จอหงวน “โกวเค่งฮุ้ง” พร้อมด้วยมารดาและ “เหี่ยเหง็กบ๊วย” ภรรยา อาศัยอยู่ในบ้านญาติผู้เป็นเสนาบดีเห่งเชียงเต๋า เสี่ยวสิ่วบุตรชายเสนาบดี ฉวยโอกาสลวนลามตอนที่เหง็กบ๊วยอธิษฐานขอพรในสวน เมื่อแม่สามีได้ยินเสียงออกมาจะสอบถาม แต่กลับถูกเสี่ยวสิ่วฆ่าตายเพื่อปิดบังความผิด เสนาบดีเชียงเต๋าปกป้องลูก จึงโยนความผิดให้เหง็กบ๊วยในข้อหาสะใภ้ที่ฆ่าแม่สามี กลายเป็นนักโทษอย่างไม่ได้รับความยุติธรรม ในขณะที่เหง็กบ๊วยกำลังจะถูกประหาร “โกวสิ่ง” คนรับใช้ได้เข้ามาเป็นพยานได้ทันเวลา เมื่อความจริงปรากฏ เค่งฮุ้งซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้พิพากษาในคดีนี้ ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของเสนาบดีใหญ่ จึงตัดสินประหารชีวิตเสี่ยวสิ่วผู้เป็นฆาตกรตัวจริง
4. เรื่อง พระโมคคัลลานะโปรดโยมมารดา แสดงวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม 2568
นำเสนอเรื่องราวของ พระโมคคัลลานะที่ยอมเสี่ยงชีวิต ทำบุญกุศลยิ่งใหญ่ เพื่อช่วยมารดาจากขุมนรก ถ่ายทอดเรื่องราวความกตัญญูอันสะเทือนใจ ย้ำเตือนให้คนประพฤติดี และสอนลูกหลานให้มีความกตัญญู ถือเป็นแบบอย่างสำคัญของการสืบทอดคุณธรรม
เรื่องราวทางพุทธศาสนาสายมหายาน เล่าถึงความกตัญญูของ ”หมักเลี้ยง” (พระโมคคัลลานะ) ผู้ตั้งมั่นในคุณธรรมความดี แต่มารดา “ลิ้วซี” กลับฝ่าฝืนคำสอนของบรรพบุรุษ กดขี่ข่มเหงผู้อื่นจนต้องประสบเคราะห์กรรม ตกอยู่ในภาวะเป็นตายเท่ากัน “หมักเลี้ยง” จึงตัดสินใจเดินทางไกลเพื่อช่วยมารดา ฝ่าฟันอุปสรรคอันตราย แม้แต่ดินแดนยมโลก แต่ด้วยใจยึดมั่นในกตัญญู เขาใช้ความเพียรพยายามฝ่าด่านต่าง ๆ จนเหล่ายมทูตซาบซึ้งใจ และสามารถช่วยมารดาออกมาได้ในที่สุด
5. องค์หญิงโป๊ยป้อและเต็กเช็ง แสดงวันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม 2568
นำเสนอเรื่องราวตำนานความรักท่ามกลางสงครามของเจ้าหญิงรูปงามกับชายหนุ่มนักรบผู้กล้า ทำให้ทั้งคู่ต้องยอมเสียสละในความรัก ทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม สะท้อนให้เห็นคุณค่าของการยึดมั่นในหน้าที่เหนือความรักส่วนตัว และการเสียสละเพื่อส่วนรวม ซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญของวีรบุรุษ
รัชสมัยซ่ง กองทัพจากไซแห่เข้ามารุกรานชายแดน “เอี่ยจงเป้า” แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองซ่งพลาดท่า ถูกล้อมกรอบอยู่ที่ด่านไก้ไป๊ ทหารกล้า “เต็กเช็ง” นำทัพช่วยเหลือ แต่ระหว่างทางได้ล้ำเข้าเมืองเสี่ยงเสียง พันธมิตรของซ่งโดยไม่รู้ตัว เมื่อองค์หญิง “โป๊ยป้อ” แห่งเสี่ยงเสียง พบ “เต็กเช็ง” วีรบุรุษสง่างาม จึงบังเกิดเป็นความรักแรกพบและหมายจะให้เต็กเช็งเป็นราชบุตรเขย หากแต่เต็กเช็งยึดมั่นในหน้าที่ เป็นห่วงชายแดน จึงปฏิเสธการอภิเษก และรีบมุ่งไปชายแดนเพื่อช่วยแม่ทัพเอี่ยจงเป้า เมื่อสงครามคลี่คลาย แต่องค์หญิงโป๊ยป้อที่ยังโกรธเคืองเต็กเช็งที่หนีการแต่งงานและพยายามจะนำตัวเต็กเช็งกลับเมืองเสี่ยงเสียงให้ได้ เต็กเช็งเกรงอาญาหากแต่งงานกับเจ้าหญิงต่างแคว้นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากราชสำนัก ทำให้ทั้งสองมีปากเสียงกัน เมื่อแม่ทัพเอี่ยจงเป้าได้ข่าวจึงเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยให้ทั้งคู่เข้าใจกัน
6. รวมไฮท์ไลท์สำคัญ 10 เรื่อง แสดงวันอังคารที่ 15 กรกฎาคม 2568 ประกอบด้วย
6.1 เรื่อง หวนพบกันที่นครหลวง
นำเสนอเรื่องราวของคุณค่าความรักที่ยึดมั่นในความจริงใจ ไม่หวั่นไหวต่อยศศักดิ์หรือฐานะ พร้อมชี้ให้เห็นว่า ความรู้และความเพียรย่อมนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จและการยอมรับอย่างแท้จริง
เมื่อปลายสมัยราชวงศ์ซ่ง อัครเสนาบดี “เหล่าโหมว” จัดตั้งปะรำพิธีเพื่อคัดเลือกลูกเขยให้แก่ “หง่วยง้อ” ลูกสาว ซึ่งเป็นหญิงสาวที่ไม่หลงใหลในลาภยศ แต่ให้ความสำคัญกับความรู้ความสามารถ เธอเลือกชายหนุ่มยากจนแต่มีปัญญาคือ “หลื่อหม่งเจ่ง” แต่ผู้เป็นพ่อเห็นว่าชาติตระกูลไม่เหมาะสม จึงต้องการผิดสัญญา ทว่าลูกสาวไม่ยอมจึงถูกขับออกจากจวนของท่านเสนาบดีไปอยู่กระท่อมร่วมกับหลื่อหม่งเจ่ง ปีต่อมา หลื่อหม่งเจ่งสอบไล่ได้ตำเหน่งจอหงวน จึงส่งคนไปรับศรีภรรยามายังนครหลวง ทั้งคู่จึงได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง
6.2 เรื่อง สัญญารักในสวนดอกไม้
เรื่องนี้เป็นตอนหนึ่งในงิ้วแต้จิ๋วคลาสสิกเรื่อง ซูหลักนึง สะท้อนคุณค่าของความรักบริสุทธิ์ที่เติบโตจากมิตรภาพและความผูกพันยาวนาน พร้อมย้ำถึงความซื่อสัตย์และคำมั่นสัญญาที่มีต่อกัน แม้ในยามต้องห่างไกล
เรื่องจะกล่าวถึง “ซูหลักนึง” หญิงสาวผู้เฉลียวฉลาด อาศัยอยู่กับลุงเพื่อศึกษาเล่าเรียนที่ตำบลไซหลู ระหว่างนั้นเธอกับญาติหนุ่ม “ก๊วกเก็กชุน” เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ความผูกพันค่อย ๆ ก่อตัวเป็นความรัก เมื่อถึงเวลา “ก๊วกเก็กชุน” เตรียมตัวออกเดินทางไปสอบจอหงวน ทั้งสองได้นัดพบกันในสวนดอกไม้ และแอบสาบานรักต่อกัน ลั่นวาจาผูกพันว่าจะครองคู่กันไปชั่วชีวิต
6.3 เรื่อง เปาบุ้นจิ้นขอขมา
เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวของ เปาบุ้นจิ้น สะท้อนถึงคุณค่าของ ‘ความซื่อสัตย์สุจริต’ และ ‘ความเที่ยงธรรม’ ว่าเป็นหลักการที่ผู้นำหรือผู้มีอำนาจพึงยึดมั่น แม้ต้องแลกกับความเจ็บปวดส่วนตัว ก็เพื่อธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมในสังคม
โป๊ยกง (เปาบุ้นจิ้น) ได้รับพระราชโองการให้เดินทางไปยังแคว้นเฉ่งจิว เพื่อแจกจ่ายเสบียงช่วยเหลือราษฎร ระหว่างทางที่ศาลาพัก ได้พบชาวบ้านพบชาวบ้านมาร้องเรียนว่า “โป๊ยเมี่ยง” (ญาติของเขา) ที่ข่มเหงประชาชนและยักยอกเสบียงบรรเทาทุกข์ โป๊ยกง จึงตัดสินคดีอย่างยุติธรรมและสั่งประหาร โป๊ยเมี่ยง ตามกฎหมาย แม้จะเป็นญาติสายตรงของตนเอง
หลังจากนั้นจึงกลับไปที่บ้านเพื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดแก่ “อ่องฮ้วงเอง” ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของเขาฟัง พร้อมขอโทษที่ต้องตัดสินเช่นนั้น “อ่องฮ้วงเอง” รู้สึกประทับใจในความซื่อสัตย์ยุติธรรมและความไม่ลำเอียงของ โป๊ยกง ที่ไม่ลำเอียงแม้กับคนในตระกูล สุดท้ายจึงยอมให้อภัยและเข้าใจในสิ่งที่เขาทำเพื่อความยุติธรรม
6.4 เรื่อง โรงเตี๊ยมทางสามแพร่ง
เรื่องนี้เล่าถึง ลิ้วลี่ฮวย เจ้าของโรงเตี๊ยมผู้กล้าหาญและมีน้ำใจ ที่ยื่นมือช่วย แก๊วจั่น สะท้อนคุณค่าของความกล้าหาญเพื่อความถูกต้อง และการเชื่อมสัมพันธ์ผ่านการแก้ไขความเข้าใจผิดอย่างเปิดเผย ความร่วมมือและความจริงใจจึงเป็นพลังขับเคลื่อนสู่ชัยชนะร่วมกัน
“ลิ้วลี่ฮวย” เจ้าของโรงเตี๊ยมที่พยายามช่วยเหลือ “แก๊วจั่น” ที่ถูกขุนนางชั่วร้ายกลั่นแกล้งและเนรเทศ ระหว่างการช่วยเหลือ “ลิ้วลี่ฮวย” เกิดเข้าใจผิดกับ “อึ้งถังฮุ้ย” นายทหารภายใต้บังคับบัญชาของ “หยางเองจิว” ที่แอบคอยปกป้อง “แก๊วจั่น” อยู่ ทั้งสองจึงปะทะกันในยามค่ำคืนอย่างดุเดือด ในขณะที่สู้กันอย่างไม่รู้แพ้รู้ชนะ ภรรยาของลิ้วลี่ฮวยก็ได้ช่วยแก๊วจั่นออกมาได้สำเร็จ ทุกคนจึงได้พบกันและปรับความเข้าใจผิด จึงตกลงร่วมมือกัน เดินทางไปทำภารกิจยิ่งใหญ่ต่อไป
6.5 เรื่อง ลำนำเพลงรัก
“ลำนำเพลงรัก” เป็นท่อนหนึ่งของอุปรากรเรื่อง “ชุงเฮียงตึ่ง” ซึ่งอิงบทละครดั้งเดิมของประเทศเกาหลี เป็นฉากที่แสดงถึงความสามารถในการขับร้องของนักแสดงในบทบาทของ “ชุงเฮียง” และ “หมั่งเล้ง” เนื้อร้องบรรยายถึงความงดงามและความยิ่งใหญ่ของความรัก การขับร้องเป็นไปอย่างประทับใจต่อผู้ได้ยินได้ชมเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องราวของชายหนุ่มนามว่า “หลีหมั่งเล้ง” เป็นบุตรชายของผู้ว่าการแคว้น หมั่งเล้งออกเดินทางท่องเที่ยวในช่วงสารทเดือนห้า และได้พบเจอกับ “ชุงเฮียง” ซึ่งเป็นนางคณิกา ต่อมาหมั่งเล้งได้รับคำสั่งให้กลับบ้านเพื่อดูแลมารดา แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้พาชุงเฮียงไปด้วย ทั้งสองจึงจำต้องพลัดพรากจากกัน สะท้อนความงดงามของความรักแท้ที่เกิดจากความผูกพันและความซื่อสัตย์ แม้จะมีอุปสรรคและการพรากจาก แต่ความทรงจำและคำมั่นสัญญายังคงตราตรึงอยู่ในใจ
6.6 เรื่อง นารีกำสรวล
ถ่ายทอดเรื่องราวในยุคจีนโบราณของครอบครัวหนึ่งที่ต้องประสบกับความยากจน โดยเรื่องนี้ยังสะท้อนถึงความรักและความหวังของแม่ เตือนใจให้เห็นคุณค่าของครอบครัวและความรักที่ไม่เสื่อมคลาย แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ความหวังและความผูกพันยังคงเป็นแสงสว่างนำทาง
หญิงชาวนายากจนคนหนึ่ง ต้องจำใจยอมให้สามีขายตนเองออกไปทำงานไกลบ้านนานถึงสามปี เมื่อถึงวันครบกำหนด ระหว่างเดินทางกลับบ้าน หัวใจของคนเป็นแม่เต็มไปด้วยความคิดถึงลูกชายทั้งสอง วาดหวังให้ “ชุงป้อ” บุตรชายคนโตมีชีวิตและสุขภาพแข็งแรง ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากัน ทว่า พอก้าวเข้าประตูบ้าน สิ่งที่พบคือ “ชุงป้อ” กลับป่วยหนักจนแทบไม่ไหว
6.7 เรื่อง สารโยงสายใย
เรื่องนี้สะท้อนพลังของสายใยครอบครัว ว่าความรัก ความจริงใจ และการให้อภัย คือกุญแจสำคัญในการเยียวยาความบาดหมาง และนำพาครอบครัวกลับคืนสู่ความอบอุ่น
เรื่องราวของ “เหล่าตี้เอี้ยง” ที่คิดว่า “ลีซาเนี้ย” ภรรยาเก่าเสียชีวิตไปแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่านางยังมีชีวิตอยู่ และได้พบกับ “เหล่าก่าไจ๊” ลูกชายโดยบังเอิญ พร้อมทั้งฝากจดหมายให้กับ “เหล่าตี้เอี้ยง” เมื่อ “เหล่าก่าไจ๊” รู้ว่าหญิงที่ตนได้พบคือมารดาผู้ให้กำเนิด ก็ตื้นตันใจจนร้องไห้เสียงดังพร้อมกับโหยหาแม่แท้ ๆ ก็เผลอพูดจาไม่เหมาะสมกับแม่เลี้ยง “หงักสี” แต่ด้วยความรักที่มีต่อลูก และซาบซึ้งในความจริงใจของเขา จึงตัดสินใจขอร้องสามีให้รับ “ลีซาเนี้ย” กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง
6.8 เรื่อง ปิ่นทองอลเวง
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การปรักปรำผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐาน ย่อมนำไปสู่ความอับอาย และในที่สุด คนที่ทำผิดก็จะต้องรับผลของการกระทำตนเอง
เรื่องราวของคุณชายเจ้าสำราญ “หู่เลี้ยง” ระหว่างทางกลับบ้านจากหอนางโลม เก็บปิ่นทองได้ที่หน้าห้องของ “เหล่งเซ็ง” ชายหนุ่มที่มาขอพักอาศัยชั่วคราว จึงเกิดสงสัยว่าน้องสาวของตนอาจมีเรื่องเกี่ยวข้องกับ “เหล่งเซ็ง” จึงไปอาละวาดกับน้องสาวตนเอง และถึงกับพนันกับสาวใช้ชื่อ “เซียวเอ็ง” ว่าเขาจะพิสูจน์ให้ได้ว่าปิ่นนั้นเป็นของน้องสาว แต่สุดท้ายปรากฏว่า ปิ่นทองที่เก็บได้คือปิ่นของหญิงจากหอนางโลม เมื่อความจริงเปิดเผย หู่เลี้ยงจึงต้องชดใช้กรรม ไม่เพียงแต่โดยมารดาตำหนิอย่างรุนแรง แต่ยังถูกเซียวเอ็งตีด้วยไม้ไผ่ให้ได้อายอีกด้วย
6.9 เรื่อง วีรบุรุษ อ่วงฉ่งห่วง
นำเสนอเรื่องราวโศกนาฏกรรมของ “อ่วงฉ่งห่วง” ไม่เพียงแต่เป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ หากยังเตือนใจถึงความสำคัญของการฟังอย่างรอบด้าน การไว้วางใจผู้มีฝีมือ และการรักษาสติในยามวิกฤต เพื่อไม่ให้ศัตรูชนะเพราะความลังเลของผู้นำเอง
ต้นรัชสมัยฉ่งเจ็ง พื้นที่แถบเหลี่ยวตังมักถูกชาวหูรบกวนอยู่เสมอ ฮ่องเต้ฉ่งเจ็งจึงเรียกใช้
“อ่วงฉ่งห่วง” แม่ทัพใหญ่ซึ่งเคยถูกปลดในรัชกาลก่อน ให้กลับมารับราชการอีกครั้ง พร้อมรับราชโองการกลับมาปฏิบัติหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองอีกครั้ง พวกหูคร้ามเกรงความเกรียงไกรทัพตระกูลอ๊วง จึงไม่กล้าบุกโจมตีโดยตรง แต่เลือกใช้วิธีอ้อมเพื่อเข้าล้อมเมืองหลวง “อ่วงฉ่งห่วง” เร่งควบม้าไปช่วยเมืองหลวง แต่ฮ่องเต้กลับหลงเชื่อคำยุแยงเกิดความสงสัยความภักดีของ “อ่วงฉ่งห่วง” และตกหลุมแผนการของศัตรู จึงตัดสินใจปลดแม่ทัพท่ามกลางสถานการณ์คับขันและสั่งควบคุมตัวเข้าคุกหลวงทันที
6.10 เรื่อง หวนพบที่บ้านสกุลจก
ฉากหนึ่งในนิยามรักอมตะของ “เหนี่ยซัวแปะและจ๊กเอ็งไท้” ถ่ายทอดความรักที่บริสุทธิ์แต่ถูกพรากด้วยกรอบประเพณี สะท้อนบทเรียนอมตะว่า ความรักแท้ไม่จำเป็นต้องสมหวังเสมอไป หากแต่จะคงอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน
เนื้อเรื่องกล่าวถึงเหตุการณ์อันน่าเศร้าเมื่อ “เหนี่ยซัวแปะ” ได้กลับมาพบกับ “จ๊กเอ็งไท้” ที่อยู่ในชุดเจ้าสาว “เหนี่ยซัวแปะ” ดีใจเมื่อพบว่า “น้องชายคนสนิท” แท้จริงคือหญิงสาวในดวงใจ ทั้งสองต่างเปิดเผยความรู้สึกในใจต่อกัน แต่ “จ๊กเอ็งไท้” กลับมีสีหน้าอมทุกข์และเก็บงำความเศร้าไว้ในใจ เพราะโชคชะตาได้กำหนดไว้แล้วว่า “ชาติภพนี้ยากจะได้ครองคู่” การกลับมาพบกันครั้งนี้ จึงกลายเป็นการลาจากตลอดกาล
7. พยัคฆ์ปักไหม แสดงวันพุธที่ 16 กรกฎาคม 2568
ปิดท้ายด้วยการชุดการแสดงสุดยิ่งใหญ่ “พยัคฆ์ปักไหม” เรื่องราวดัดแปลงจากวรรณกรรมจีนอมตะ “สามก๊ก” โดยมี “เฉาจื้อ” กวีผู้มีพรสวรรค์แห่งปลายราชวงศ์ฮั่นเป็นตัวเอก “พยัคฆ์ปักไหม” เป็นสมญานามที่ “โจโฉ” ตั้งให้กับบุตรชายผู้นี้ เพื่อสื่อถึงความประณีตละเอียดอ่อน ทว่าทรงพลังดั่งเสือที่ปักด้วยไหมทอง
นับเป็นผลงานการประพันธ์ของ ก๊วยขีฮ้ง (จีนกลาง – กัวฉี่หง) หนึ่งใน “สามเสาหลักแห่งวงการละครจีนร่วมสมัย” จากโรงละครศิลปะประชาชนปักกิ่ง กำกับโดย ศาสตราจารย์โหล่วงัง (หลูอั๋ง) ประธานภาควิชาผู้กำกับแห่งสถาบันการละครเซี่ยงไฮ้ และแสดงนำโดย หลิ่ม อี้ ฮุ้ง (หลิน เหยียน หยุน) ศิลปินรางวัลบ่วยฮวย (เหมยฮวา) และผู้แทนสภาประชาชนแห่งชาติ
งิ้วเรื่องนี้ได้รับรางวัลอันดับ 1 ประเภทบทละครเวที จากการประกาศผลรางวัลอุปรากรฉั่งอัง ครั้งที่ 35 เมื่อเดือนกันยายน ปี 2021 ถือเป็นรางวัลสูงสุดของวงการศิลปะการละครในประเทศจีน และนับเป็นงิ้วแต้จิ๋วเรื่องแรก จากภูมิภาคแต้จิ๋ว–ซัวเถาที่คว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้ นับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการงิ้วแต้จิ๋ว
บทละครนี้สะท้อนถึงการเรียกร้องให้ผู้คนในสังคมมีความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน ทั้งยังส่องประกายบุคลิกอันสง่างามของกวีผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน งิ้วเรื่องนี้เป็นการเชื่อมโยงศิลปะดั้งเดิมของแต้จิ๋วกับแนวคิดร่วมสมัย ถ่ายทอดเสน่ห์ของวรรณกรรมคลาสสิกจีนอย่างลึกซึ้ง และผลักดันวัฒนธรรมจีนให้เดินหน้าสู่ความมั่นใจและเข้มแข็งยิ่งขึ้น เป็นผลงานที่เปิดบทใหม่ให้กับการพัฒนางิ้วแต้จิ๋วคุณภาพสูงในยุคปัจจุบัน
เนื้อเรื่องจะกล่าวถึงโจโฉวางแผนให้เฉาจื้อขึ้นครองราชย์ เพราะมีความสามารถทั้งบู๊และบุ๋น แต่ “เฉาพี” ลูกชายอีกคนหนึ่ง ผู้มีความทะเยอทะยานสูง ได้รับการสนับสนุนทางการเมืองเข้มแข็งกว่า ในที่สุด โจโฉเลือกเฉาพีเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง แม้เฉาจื้อและเฉาพีจะเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน แต่ก็มีนิสัยแตกต่างกัน เมื่อโจโฉสิ้นชีวิต เฉาพีขึ้นเป็นจักรพรรดิ แต่ก็หวาดระแวงน้องชายซึ่งได้รับความนิยมจากประชาชนมากกว่า จึงออกอุบายทดสอบเฉาจื้อ ให้แต่งบทกวีใน 7 ก้าว หากทำไม่ได้จะถูกประหาร อันเป็นที่มาของบทกวี “ต้มถั่วเผาเถาถั่ว” ที่ลือลั่นในประวัติศาสตร์จีน