เปิดทุกคำพูดบนเวทียั่งยืนระดับชาติ GCNT Forum 2023 “ศุภชัย เจียรวนนท์” นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ประกาศเจตนารมณ์สร้างคน สร้างสังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน รองรับการก้าวสู่ยุค 5.0 ชี้การพัฒนา “คน” หรือ “ทุนมนุษย์” ของไทย รอไม่ได้อีกต่อไป

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะนายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย หรือ GCNT กล่าวว่าการประชุม GCNT FORUM จัดขึ้นทุกปี เพื่อกำหนดทิศทาง แลกเปลี่ยนมุมมอง ด้านการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนของสมาชิก โดยสมาคมฯ มีสมาชิกที่มาจากทั้งภาคเอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนกว่า 130 องค์กร และพร้อมใช้โอกาสนี้ ประกาศเจตนารมณ์ ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทย ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้ง 17 ข้อ รวมถึงระดมสมอง เพื่อเตรียมการประชุมด้านความยั่งยืนสำคัญระดับโลก เช่น การประชุม COP28 ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า

ผมภูมิใจที่ได้จะเรียนว่า การประกาศเจตนารมณ์ ของสมาชิกสมาคมฯ ในแต่ละปี นำไปสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงในการนี้ ผมขอชื่นชมสมาชิกสมาคมฯ กว่า 50 องค์กร คิดเป็นกว่าร้อยละ 80 ของสมาชิกเมื่อปีที่แล้ว ที่ได้ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายใน ค.ศ. 2050 หรืออย่างช้าที่สุด ไม่เกิน ค.ศ. 2070 สอดคล้องกับการประกาศเจตนารมณ์ ของสมาคมฯ และช่วยกำหนดเป้าหมายของประเทศไทย สำหรับการประชุม COP27 จนปัจจุบัน ประเทศไทยมีองค์กรเกือบหนึ่งร้อยองค์กร ที่ได้ตั้งเป้า Net Zero แล้ว ดังนั้น การที่ท่านรองนายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติมามอบนโยบาย และเป็นสักขีพยาน ในการประกาศเจตนารมณ์ในวันนี้ จึงมีความสำคัญยิ่ง ต่อการขับเคลื่อนนโยบายความยั่งยืนของประเทศ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน

พื้นฐานการพัฒนาประเทศ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ทั้ง 17 ข้อ

อย่างไรก็ดี การประชุม SDGs Summit ณ นครนิวยอร์ก  เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และผมได้มีโอกาสไปร่วม ในนามของนายกสมาคมฯ นั้น ประชาคมโลก ต่างกังวลกับการบรรลุเป้าหมายทั้ง 17 ข้อ ที่เดินหน้าอย่างล่าช้า กล่าวคือ เพียงร้อยละ 12 ของเป้าหมายเท่านั้น ที่เดินหน้าตามแผน ส่วนเป้าหมายอีกร้อยละ 30 ไม่คืบหน้าหรือต่ำกว่าเกณฑ์เมื่อปี ค.ศ. 2015 ทุกคนต่างร่วมกันค้นหาปัจจัยแห่งความสำเร็จ ที่จะช่วยให้โลกบรรลุเป้าหมายทั้ง 17 ข้อ ให้ทันเวลาอีก 7 ปีข้างหน้า ทั้งเรื่องเงินทุน ภาวะผู้นำ ตลอดจน เทคโนโลยีและนวัตกรรม

ปัจจัยแห่งความสำเร็จสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่อาจยังไม่มีการกล่าวถึงมากนัก คือ การเตรียมความพร้อมของ “คน”  หรือทรัพยากรมนุษย์ ที่นอกจากจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน อย่างแท้จริงแล้ว ยังจำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ในยุคต่อไป หรือยุค 5.0 เกิดคำถามว่า ยุค 5.0 คือ อะไร

ปัจจุบัน โลกอยู่ในยุค 4.0 ซึ่งเป็นยุคของการประมวลข้อมูล /ข้อมูลมีค่าดั่งน้ำมันในอากาศ โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุค 5.0 ยุคที่มนุษย์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน AI หยิบยื่นทั้งโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และอาจทำให้คนเป็น Superhuman แต่มีความเสี่ยงเช่นกัน ดังตัวอย่างของอาชญากรรมทางไซเบอร์ ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจต่อยอดไปถึงสงครามทางไซเบอร์ หรือสงคราม AI   มีผลรุนแรงที่เราไม่สามารถคาดการได้ หากเราใช้ AI โดยปราศจากคุณธรรมและธรรมาภิบาลกำกับ ดังนั้น คุณธรรม จริยธรรม ซึ่งสอดคล้องกับหลักการความยั่งยืน ว่าด้วย เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงจะเป็นคุณค่าสำคัญ เพิ่มเติมจากยุค 4.0 เพื่อกำกับการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้

เราอาจเรียกยุค 5.0 ใหม่  ที่เราควรสร้างร่วมกันนี้ว่า  Sustainable Intelligence-Based หรือ SI Society  แปลว่า “สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” หรือยุค “SI over AI” และเราจำเป็นต้องเตรียม “คน” ให้พร้อม สำหรับยุค 5.0 ที่กำลังจะเกิดขึ้น เราต้องเตรียมความพร้อมเรื่อง “คน” สำหรับเศรษฐกิจและสังคมสู่ยุค 5.0 ที่เร่งรัดเข้ามาแล้ว ดัชนีการพัฒนาทุนมนุษย์ระดับโลก ต่างชี้ไปในทางเดียวกันว่า ไทยต้องลงมือ และเร่งมือ พัฒนาทุนมนุษย์ ตั้งแต่วันนี้  ก่อนจะสายเกินไป ปัจจุบัน การพัฒนาทุนมนุษย์ของไทยและความพร้อมต่ออนาคต ยังถูกประเมินอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าขนาดของ GDP มาก ไทยยังเผชิญข้อท้าทายหลายประการ อาทิ ระดับความรู้แนวลึก และทักษะด้านการใช้เทคโนโลยี

ดังนั้น การพัฒนา “คน” หรือ “ทุนมนุษย์” ของไทย รอไม่ได้อีกต่อไป

นอกเหนือจากนโยบายของภาครัฐ รวมทั้งกิจกรรมของภาคเอกชน และภาคส่วนต่าง ๆ  ที่ดำเนินอยู่อย่างดีแล้วในปัจจุบัน  ผมขอเสนอแนวทางเพิ่มเติม  ที่น่าจะช่วยเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์สำหรับยุค 5.0 มุ่งสู่ “สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” ดังนี้

สำหรับนักเรียน นักศึกษา  ที่อยู่ในระบบกว่า 12.5 ล้านคน ต้องรู้จักใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก้ปัญหา เรียนรู้ด้วยการลงมือทำจริง  หรือ Action-Based Learning  เสริมกิจกรรมแบบ Extra Curricular เพื่อสร้าง “นักสำรวจและทดลอง” หรือ Explorer  เรียนรู้เพิ่มเติมด้วยคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊คประจำตัว  ที่โรงเรียนให้ยืม พร้อมโปรแกรมคัดกรองเนื้อหา  เรียนหลักสูตรที่ต้องตอบสนอง  ทั้งความสนใจของผู้เรียน  และต้องการของตลาดแรงงาน  เพิ่มความสามารถในการปรับตัว  ด้วย Growth Mindset  กล่าวคือ  ได้รับการบ่มเพาะ “จิตสำนึกแห่งความยั่งยืน”

ครูผู้สอนเองก็สำคัญ  ต้องปรับบทบาทจาก ผู้สอน หรือ Instructor  เป็น โค้ช ผู้นำกระบวนการเรียนรู้ หรือ Facilitator  คือศักยภาพของนักเรียน นักศึกษา  เพื่อบ่มเพาะผู้นำการเปลี่ยนแปลง  มีตัวชี้วัด ประกอบการจัดทำรายงานประเมินผลงานของครู  ที่ส่งเสริมความโปร่งใส

บทบาทของครูผู้สอน  ไม่ได้จำกัดแต่ในสถาบันการศึกษาเท่านั้น ภาคเอกชน มีบทบาทนี้ได้ เช่น การจัดกิจกรรมเป็นฐานหรือศูนย์การเรียนรู้ ลักษณะ Action-Based หรือ Experience-Based Learning สอดคล้องกับ SDGs ข้อที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตน เพื่อสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจ เรื่องคุณธรรมและธรรมาภิบาลสู่ความยั่งยืน วางกรอบความคิดใหม่ แก่นักเรียน นักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่ เพราะกระบวนการเรียนรู้ เรื่องคุณธรรม เรื่องธรรมมาภิบาลสู่ความยั่งยืน  ซึ่งเชื่อมโยงใกล้ชิดกับหลักการความยั่งยืน  จะถูกถ่ายทอด ผ่านกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองนี้ ช่วยปลูกฝังจิตสำนึก ฝึกการร่วมแก้ปัญหาระดับมหภาค คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

สำหรับแรงงาน เทคโนโลยียุค 5.0 ต้องการแรงงาน ที่มีทักษะต่างจากเดิม องค์กรควรปรับมุมมองในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการวิเคราะห์ว่า เราจะใช้ประโยชน์จาก AI อย่างไร  ให้เสริมงานที่เราทำ นายจ้าง รวมถึง ภาครัฐ ควรเตรียมทักษะแรงงานและทรัพยากรมนุษย์อย่างไร เพื่อให้แรงงานปัจจุบันและอนาคต สามารถทำงานกับเทคโนโลยี ได้ มากกว่ากังวลว่า AI จะแย่งงานของเรา

เราทุกคนในที่นี้ ควรตั้งคำถามร่วมกันว่า จะปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่ มี “ภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” ผ่าน life-long learning อย่างไร  มากกว่ามุ่งตั้งข้อสังเกตว่า ทำไม ยังมีช่องว่างทางความคิด ระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า

ผมขอย้ำว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุค 5.0 ควรมีความรับผิดชอบและการดูแล หรือ Just Transition

เราต้องช่วยกันดูแลและปรับทักษะแรงงาน เพื่อการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุค 5.0 โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานทักษะล่าง ถึง กลาง  ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 90 ของแรงงานไทยทั้งหมด ที่มีราว 39.6 ล้านคน และต้องเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค 5.0 ทั้งสิ้น

เราต้องส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษา และการมีงานทำ สำหรับกลุ่มเปราะบาง อาทิ กลุ่มเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา การทำงาน หรือการอบรม กลุ่มที่อาจถูกมองข้าม เช่น คนพิการ สตรี  คนสูงวัย  แรงงานข้ามชาติ คนไร้สัญชาติ กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ และคนที่พ้นโทษ

สุดท้ายนี้ ผมเชื่อว่า “คน” ที่มีภูมิปัญญาที่ยั่งยืน หรือคนยุค SI จะช่วยให้สังคมไทย และสังคมโลก จัดการกับข้อท้าทายต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ ได้ตามกำหนด

สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย จะไม่หยุดยั้ง ที่จะระดมกำลัง สนับสนุนการปฏิรูประบบการศึกษา เพิ่มขีดความสามารถของครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษาพัฒนาแรงงาน ให้มีทักษะเหมาะสม ต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 5.0 เน้นการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม สร้างคนที่อุดมไปด้วย “ภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” สร้างพื้นที่แห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน แก่ทุกคน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง.