ซีพีออกแถลงการณ์ข้อเท็จจริง กรณีนักการเมืองพาดพิงดีเบตหาเสียง พร้อมย้ำนโยบายดูแลสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่ และระบบตรวจสอบย้อนกลับ “ไม่เขา ไม่เผา เราซื้อ” ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ให้ความเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือเผยแพร่ข้อมูลที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องเป็นจริง อย่างไรก็ตามปรากฎว่าในช่วงที่ผ่านมามีการดีเบตของนักการเมืองเรื่อง “ปัดฝุ่น ปัญหาภาคเหนือ” เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 ซึ่งมีเนื้อหาพาดพิงถึงชื่อ ซีพี โดยมีการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง อันอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด

ประเด็นพาดพิง 1 : การเผาป่าเป็นวิธีการของนายทุนเพื่อลดต้นทุน (ซีพียืนยันว่าไม่มีนโยบายลดต้นทุน ด้วยวิธีการส่งเสริมการเผาป่า และสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ 100%)

ข้อเท็จจริง 1 : ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซีพีมีการทำงานร่วมกับเกษตรกรในพื้นที่และภาคสังคมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยยืนยันได้ว่าใน 5 ปีที่ผ่านมา ซีพีเป็นผู้นำในการใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (Corn Traceability) มาใช้ 100% ข้าวโพดทุกเมล็ดของซีพีที่ใช้ในอุตสาหกรรมมาจากพื้นที่ถูกกฎหมาย ไม่มีการเผาป่า ซึ่งมีความโปร่งใส โดยมีความพร้อมและยินดีทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้ระบบดังกล่าวเป็นต้นแบบอุตสาหกรรม ซีพีไม่มีนโยบายลดต้นทุนจากการทำลายสิ่งแวดล้อม

ประเด็นพาดพิง 2 : นายทุนอาหารสัตว์ไปส่งเสริมเกษตรพันธสัญญา รับซื้อข้าวโพดมาโดยไม่สนใจว่าเกษตรกรจะเผาหรือไม่ (ซีพียืนยันว่าไม่มีการส่งเสริมและไม่มีการรับซื้อข้าวโพดในพื้นที่ที่มีการเผา 100%)

ข้อเท็จจริง 2 : ซีพีไม่มีการส่งเสริมเกษตรพันธสัญญาในพื้นที่ผิดกฎหมาย และพื้นที่ที่มีการเผาซังข้าวโพดทั้งในและต่างประเทศ โดยกำหนดเป็นนโยบายบริษัทชื่อ ไม่เขา ไม่เผา เราซื้อ ซึ่งรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่ที่ถูกต้อง ไม่บุกรุกป่า ไม่บุกรุกภูเขา และซื้อจากพื้นที่ที่ไม่มีการเผาเท่านั้น นอกจากนี้ในการขายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ซีพีมีระบบตรวจสอบย้อนกลับและไม่มีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรนำข้าวโพดไปปลูกในพื้นที่ผิดกฎหมายทั้งในและต่างประเทศเช่นเดียวกัน อีกทั้งในต่างประเทศยังมีการใช้ระบบเกษตรแปลงใหญ่ (Smart Farming) ซึ่งไม่มีการเผา แต่ใช้วิธีการไถกลบโดยเครื่องจักรทันสมัย

ซีพีหวังว่าการหาทางออกปัญหาหมอกควัน ไฟป่า จะตั้งอยู่บนข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์และเป็นความจริง  ซีพียืนยันว่าระบบการจัดซื้อตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Sustainable Supply Chain) พื้นที่การเกษตรที่อยู่ใน Supply Chain ของซีพี เป็นพื้นที่ที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ซีพีพร้อมที่จะให้นักวิชาการ ภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนขยายผลระบบตรวจสอบย้อนกลับ ให้เป็นระบบพื้นฐานของอุตสาหกรรม โดยมี บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด และ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหานี้ร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน

ทั้งนี้ ซีพีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่หากยังมีการพาดพิงซีพีด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและความเสื่อมเสียต่อองค์กร บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปอย่างถึงที่สุด

ผู้บริหารย้ำไม่สนับสนุนการเผาป่า

เครือเจริญโภคภัณฑ์และบริษัทในเครือ ใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (corn traceability) ตั้งแต่ปี 2560 ยืนยันได้ว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่จัดหา 100% ในกิจการประเทศไทยสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งปลูกมีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ปราศจากการบุกรุกพื้นที่ป่า  ตลอดจนขับเคลื่อนพัฒนาศักยภาพเกษตรกรผู้ปลูกรายย่อย ปลูกจิตสำนึกการไม่เผาหลังเก็บเกี่ยว และหาแนวทางเพื่อร่วมแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 สร้างหลักประกันการจัดหาข้าวโพดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นส่วนหนึ่งดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

นายไพศาล เครือวงศ์วานิช ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ในฐานะเป็นผู้จัดหาสินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบหลักทางการเกษตรของเครือซีพี กล่าวว่า ซีพีให้ความสำคัญกับการสร้างห่วงโซ่การผลิตอาหารที่ยั่งยืน และมุ่งมั่นในการจัดหาวัตถุดิบหลักทางการเกษตรอย่างรับผิดชอบ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าจากแหล่งปลูกที่ถูกกฎหมาย ไม่ตัดไม้ทำลายป่า และไม่เผา สนับสนุนการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ตามแนวทาง “ไม่เขา ไม่เผา เราซื้อ” ทั้งนี้ เครือซีพีได้พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (Corn Traceability) ขึ้นมาใช้ในการจัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในกิจการประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา และได้นำระบบตรวจสอบย้อนกลับไปใช้ในการจัดซื้อข้าวโพดจากเกษตรกรในประเทศเมียนมา สปป.ลาว และเวียดนาม ตั้งแต่ปี 2563 อีกด้วย

“บริษัทไม่สนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่อาจส่งผลต่อการเกิดไฟป่า และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเสริมการเผา และได้ริเริ่มสร้างต้นแบบระบบการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ถูกต้อง และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างจริงจัง และใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมติดตามแปลงปลูก เพื่อร่วมจัดการปัญหาได้อย่างถูกต้อง” นายไพศาล กล่าว

บริษัทฯ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมในการติดตามแปลงเพาะปลูก และวิเคราะห์จุดที่ยังพบการเผาหลังเก็บเกี่ยว เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ลงพื้นที่ให้คำแนะนำเกษตรกร เลิกการเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยว เพื่อสร้างหลักประกันว่าบริษัทฯ จัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาจากแหล่งปลูกที่ปราศจากการเผา ปัจจุบัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ใช้ในกิจการประเทศไทย 100% สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งปลูกที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า และหลีกเลี่ยงการเผา รวมทั้งยังเพิ่มความเชื่อมั่นด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Traceability) ที่เชื่อมโยงข้อมูลผลผลิตข้าวโพด ตั้งแต่แปลงเพาะปลูกถึงโรงงานอาหารสัตว์ และจัดทำแอปพลิเคชัน ฟ.ฟาร์ม (For Farm) ขึ้น ช่วยอำนวยความสะดวกให้เกษตรกรไทยในการลงทะเบียนยืนยันตัวตนและพื้นที่ปลูก

ด้าน นายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด (CPP) ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กล่าวว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบายที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่มีนโยบายในการส่งเสริมหรือสนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ป่าและป่าอนุรักษ์ และพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือส่งเสริมให้มีการเผา เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก

ตั้งแต่ปี 2551 บริษัทฯ ได้ประกาศอย่างชัดเจน และดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดกับตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยมีข้อกำหนดยกเลิกการเป็นตัวแทนจำหน่ายของบริษัทฯ ทันที หากพบว่ามีส่วนร่วมหรือส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ดังกล่าวในทุกกรณี พร้อมกับดำเนินโครงการฟาร์มโปรครบวงจร เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ บนพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย สนับสนุนการสร้างและพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้พื้นที่ในการปลูกข้าวโพดหรือพืชอื่นๆ ที่สำคัญคือ ห้ามมีการเผาตอซังโดยเด็ดขาด แนะนำให้ใช้วิธีไถกลบแทน พร้อมทั้งร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญศึกษาวิจัยหาแนวทางเพิ่มมูลค่าตอซัง เพื่อร่วมแก้วิกฤติปัญหาหมอกควันไฟป่าและการบุกรุกป่า อย่างเป็นระบบและยั่งยืน