ผลงานนวัตกรรมด้านสังคมรอบ Chairman Awards สุดคึกคัก  กรรมการเผยหลายโครงการทำได้จริงตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ  ตอบโจทย์เป้าหมาย SDGs 

ใกล้เข้ามาทุกขณะกับการตัดสินผลงานนวัตกรรมบัวบาน 2021 ซึ่งคณะกรรมการวิชาการด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม   ได้มีการตัดสินผลงานนวัตกรรมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม  ในรอบ Chairman Awards เมื่อวันที่ 15 – 16  ธันวาคม ที่ผ่านมา  โดยเปิดโอกาสให้นวัตกรที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายนำเสนอผลงานนวัตกรรมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมต่อหน้าคณะกรรมการที่มาจากทั้งภายในเครือฯและภายนอกเครือฯ  อาทิ  ดร.พิพัฒน์  ยอดพฤติการ  ประธานสถาบันไทยพัฒน์   ดร.วิจารย์  สิมะฉายา  ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อม  ผศ.ดร  นิคม  แหลมสัก  รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  คุณอภัยชนม์  วัชรสินธุ์  รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส  ด้านประสานกิจการสัมพันธ์  เครือเจริญโภคภัณฑ์  และ  คุณพัชรี  คงตระกูลเทียน  Chief  Compliance  officer  Corporate  Compliance  officer  เครือเจริญโภคภัณฑ์

สำหรับภาพรวมของการส่งผลงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในปีนี้ มีผลงานผ่านเข้ารอบรวม  37  ผลงาน จากผลงานที่ได้รับคัดเลือกมาตั้งแต่รอบแรก 232  ผลงาน  ซึ่งเป็นผลงานของทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ   ซึ่ง ภาพรวมของการนำเสนอผลงานตลอด 2 วันที่ผ่านมา  มีหลายโครงการน่าสนใจทั้งที่เป็นโครงการใหม่ และต่อยอดจากโครงการเดิม และยังสอดคล้องกับความยั่งยืนของเครือฯ  อีกด้วย

ผศ.ดร  นิคม  แหลมสัก  รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   ในฐานะกรรมการจากภายนอก กล่าวให้ความเห็นว่า มีหลายโครงการน่าสนใจและได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว และมีบางโครงการที่มีจุดเด่นเรื่อง Social Innovation  บางโครงการสามารถบูรณาการได้ตั้งแต่ต้นน้ำ  กลางน้ำและปลายน้ำ  แต่ก็มีบางโครงการที่ยังไม่สามารถดำเนินให้ถึงที่สุด ซึ่งหากมีการทำอย่างต่อเนื่องก็อาจจะส่งผลให้โครงการนั้นประสบความสำเร็จและมีประโยชน์ได้ต่อไปในอนาคต และที่น่าสนใจคือ  หลายโครงการมีการตั้งเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ 17 ข้อของเป้าหมายความยั่งยืน (17 SDGs  Goal)ด้วย

“สำหรับตัวผมเองมองว่า โครงการที่ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนผลักดันเรื่องของ Innovation ที่มีทั้ง  Product  Process  และ  Management Innovation นั้นล้วนมีความน่าสนใจ  เพียงแต่ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะแตกต่างกันอยู่บ้าง  คือ บางโครงการเกิดในภาพกว้าง  บางโครงการเกิดในภาพแคบ  ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการออกแบบโครงการเหล่านี้”

พร้อมกันนี้ ผศ.ดร  นิคม   ยังได้ฝากถึงนวัตกรรุ่นต่อๆ ไปว่า  “อยากให้นวัตกรหรือเจ้าของโครงการมองในเรื่องของผลกระทบให้มากขึ้น ซึ่งยังมีช่องว่างอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาโดยเฉพาะในพื้นที่แนวตะเข็บชายแดน  หรือกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ  ส่วนตัวเชื่อว่าเครือฯ มองเห็นสิ่งเหล่านี้อยู่  และยังสามารถลงลึกได้ถึงในเชิงทั้งปริมาณและคุณภาพที่มากกว่านี้  และอาจส่งผลให้โครงการมีความสำเร็จมากขึ้น”

ด้าน ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์  กล่าวว่า  ปีนี้ผลงานมีความแปลกใหม่มากขึ้นทั้งผู้เข้าร่วมหน้าใหม่และการต่อยอดโครงการเดิม  แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นคือ การเติมเรื่องของนวัตกรรมเข้ามาอยู่ในกระบวนการ หรือจะเรียกว่าเป็น  Process Innovation  มีหลายโครงการพูดถึงพัฒนาการของการนำแนวคิดที่อาจจะเคยมีช่องว่างจากครั้งที่แล้วมาปรับปรุงจนได้ระบบที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการวัดผลลัพท์โครงการที่ถือว่ามีความคืบหน้ามากกว่าปีที่แล้ว  ทั้งในเรื่องของการประเมินผล  การเก็บรวบรวมข้อมูล หากแต่ละโครงการทำได้ต่อเนื่องก็จะทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโครงการต่างๆ ในครั้งนี้มีประโยชน์ต่อส่วนรวมได้อย่างเป็นรูปธรรม  และหากนำโครงการเหล่านี้ไปพัฒนา ต่อยอด หรือบูรณาการ   โดยร่วมมือกันระหว่างบริษัท โดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลโครงการกัน จะนำไปสู่การขยายผลและช่วยยกระดับผลกระทบทางสังคมเพิ่มมากขึ้น  หรือแม้แต่ภาคีเครือข่ายภายนอกก็จะทำให้โครงการบรรลุเป้าหมายได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ดร.พิพัฒน์ ฝากถึงเหล่านวัตกรในรุ่นต่อไปอีกว่า  “อยากให้แต่ละทีมจัดการข้อมูลในการนำเสนอและบริหารเวลาให้ดีกว่านี้  เพราะเข้าใจว่าหลายทีมอยากนำเสนอข้อมูลในทุกด้าน แต่เนื่องจากเวลาที่กำหนดอาจจะทำให้การเสนอไม่ครบถ้วนได้ แต่ยอมรับว่าปีนี้การนำเสนอผลงานที่น่าสนใจดึงดูดคณะกรรมการได้ดี”

นอกจากความเห็นของคณะกรรมการแล้ว ลองมาฟังความเห็นของนวัตกรจากกลุ่มทรู คุณนนทยา  กสิณฤกษ์  จากหน่วยงาน  Education & Academic  Affair  บมจ.ทรู  คอร์ปอเรชั่น  นำเสนอผลงานที่ชื่อว่า  Connect ED :  School  Management  System  โดยกล่าวว่า  เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสเข้ามานำเสนอผลงานในการประกวดนวัตกรรมบัวบาน 2021  ทีมงานทุกคนภาคภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง  เพราะการประกวดนี้มีความสำคัญมาก  ไม่ใช่แค่การบอกว่ามีนวัตกรรมอะไร  หรือคิดอะไรขึ้นมาใหม่  แต่เป็นการบอกถึงสิ่งสำคัญที่กำลังจะทำว่าคืออะไร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เรากำลังทำกับโครงการ  School  Management  System   เป็นการทำงานเพื่อปฏิรูปการศึกษาไทย  มีส่วนต่อการพัฒนาประเทศไทย เพื่อวางรากฐานไปสู่จุดเปลี่ยนถ่ายใหม่ของประเทศไทย  เพราะการศึกษาคือ พื้นฐานของการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้าน

“นอกจากความภูมิใจในการทำงานในด้านนี้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ภาคภูมิใจ คือ การที่เรามีโอกาสได้บอกกับคณะกรรมการหรือทุกๆ คนที่เกี่ยวข้องให้ทราบถึงสิ่งที่พวกเรากำลังทำว่าคืออะไร  และเป้าหมายเพื่ออะไร  จึงรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มีโอกาสเข้ามาถึงรอบสุดท้าย” คุณนนทยา  กล่าวในตอนท้าย