SCB EIC คาดเศรษฐกิจไทยปี 2023 ได้อานิสงส์จากจีนเปิดประเทศ เชื่อนักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ท่ามกลางความกังวลการส่งออกชะลอตัว
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2023 จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องที่ระดับ 3.4% โดยมีแรงส่งสำคัญมาจากภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะมาเยือนไทย 28.3 ล้านคนในปีนี้ จากความต้องการท่องเที่ยวไทยที่ยังมีอยู่มาก กอปรกับอานิสงส์จากการยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ของจีนที่เร็วกว่าคาด ทำให้คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคนในปีนี้
การกลับมาของนักท่องเที่ยวจะส่งผลดีต่อธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม สายการบิน บริษัททัวร์ รถเช่า สปาและเวลเนส การแพทย์ รวมถึงเอื้อให้การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติขยายตัวมากขึ้น อีกทั้งการท่องเที่ยวในประเทศสามารถเติบโตดีกลับไปใกล้ระดับก่อนเกิดโควิด ทำให้การบริโภคขยายตัวต่อเนื่อง
ขณะที่การส่งออกสินค้าของไทยในปี 2023 มีแนวโน้มไม่สดใสนักตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงมากภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น และอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการจัดเก็บภาษีนำเข้าใหม่ของประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ ยุโรป (เช่น กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า) และอินเดีย ซึ่งจะเริ่มมีผลบางส่วนตั้งแต่ปีนี้ SCB EIC คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไทยจะขยายตัวเพียง 1.2% ในปีนี้
สำหรับสถานการณ์เงินเฟ้อ SCB EIC มองว่า เงินเฟ้อไทยได้ผ่านจุดสูงสุดแล้วในไตรมาส 3 ปี 2022 จากราคาพลังงานที่เริ่มชะลอลง แต่ขยายวงกว้างไปยังสินค้าหลายประเภทมากขึ้น และจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคมากขึ้น โดยคาดเงินเฟ้อในปี 2023 จะอยู่ที่ 3.2% สูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีจากราคาพลังงานในประเทศและราคาอาหารที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานเร่งขึ้นจาก 2.5% ในปี 2023 เป็น 2.7%
ก้าวออกจากประเทศไทย SCB EIC มีมุมมองว่าเศรษฐกิจโลกปี 2023 มีแนวโน้มชะลอลงมากจากปีก่อน แต่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยในขณะนี้เริ่มปรับลดลงจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่
- เครื่องชี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ได้ชะลอตัวแรงนัก สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Manager Index) ในเดือนธันวาคมของประเทศเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่ที่เริ่มปรับดีขึ้นจากจุดต่ำสุด อีกทั้ง ผลกระทบจากวิกฤตพลังงานในกลุ่มประเทศยุโรปน้อยกว่าคาดจากราคาพลังงานโลกที่ลดลงเร็วและฤดูหนาวไม่รุนแรงมาก รวมถึงอัตราการว่างงานยังลดลงต่อเนื่อง
- จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด โดย SCB EIC เคยคาดไว้ว่าจีนจะเปิดประเทศในเดือนมีนาคม ซึ่งจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 หลังผ่านการระบาดรุนแรงในช่วงไตรมาสแรก และประชากรจีนมีภูมิคุ้มกันมากขึ้นแล้ว
- ทิศทางเงินเฟ้อโลกเริ่มชะลอตัวชัดเจนขึ้น ทำให้ความกังวลภาวะการเงินตึงตัวเริ่มปรับลดลง เนื่องจากนโยบายการเงินโลกจะไม่เข้มงวดมากไปกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทั้งนี้แม้ทิศทางเศรษฐกิจโลกจะปรับดีขึ้นบ้าง แต่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการแพร่ระบาดในจีนที่อาจทำให้จีนกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้ง
SCB EIC ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อโลกในปีนี้จะชะลอตัวชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นผลจากอุปทานคอขวดทยอยคลี่คลาย แรงกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลดลง และแรงกดดันอุปสงค์ที่ชะลอลง อย่างไรก็ดี แนวโน้มเงินเฟ้อโลกจะยังสูงกว่าเป้าของธนาคารกลางในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ตามราคาอาหารและพลังงานที่จะยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิดโควิด ส่งผลให้นโยบายการเงินจะยังตึงตัวนานต่อเนื่องไปอีกระยะ
โดย SCB EIC ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี (ครั้งละ 25 bps) สู่ระดับ 4.75-5% และคงดอกเบี้ยตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้