“กฎหมายโลกร้อน” กับแรงโน้มถ่วงของโลก

โดย ประสาท มีแต้ม

ขณะนี้รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน กำลังเตรียมเสนอร่าง “พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยได้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามที่กฎหมายกำหนดไปแล้ว ผมขอเรียกร่างพระราชบัญญัตินี้อย่างง่ายๆ ว่า “กฎหมายโลกร้อน” นอกจากร่างของรัฐบาลแล้วยังมีร่างของพรรคก้าวไกลซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านด้วย และน่าจะมีของพรรคอื่นๆ ตามมาอีกหลายฉบับ ทั้งนี้เพราะเป็นเทคนิคให้ได้สิทธิในการมีที่นั่งในคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างในวาระสองต่อไป

เหตุผลที่ต้องมีกฎหมายฉบับดังกล่าวมีหลายประการ เช่น (1) เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดภัยธรรมชาติ (2) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามที่ได้ให้สัตยาบันไว้ในข้อตกลงปารีส (3) ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจประเทศให้มีความยั่งยืน และ (4) สร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีทั้ง 4 ประการ

ผมได้ศึกษาร่างของรัฐบาลซึ่งมี 14 หมวดรวม 169 มาตราอยู่หลายรอบ แต่ละรอบอ่านไม่เคยจบทั้งหมด ผมมีความเห็นต่างในหลายประเด็นสำคัญ แต่ในที่นี้ผมขอกล่าวถึงเพียงประเด็นเดียวที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุดเท่านั้น นั่นคือ ข้อความอยู่ในหมวดว่าด้วยการลดก๊าซเรือนกระจก ถ้าเป็นร่างของรัฐบาลอยู่ในมาตรา 68 ร่างของพรรคก้าวไกลอยู่ในมาตรา 72 ซึ่งเขียนเหมือนกันว่า “ในการจัดทำแผนลดก๊าซเรือนกระจก คณะกรรมการต้องคำนึงถึงเรื่องดังต่อไปนี้ เป็นอย่างน้อย (๑) นโยบายและแผนการพัฒนาของประเทศ”

ผมขอยกข้อที่ต้องคำนึงถึงเพียงข้อเดียว คือ การจัดทำแผนลดก๊าซเรือนกระจกต้องคำนึงถึงนโยบายและแผนการพัฒนาของประเทศ
หากตีความตามตัวหนังสือก็จะได้ว่า หากนโยบายและแผนพัฒนาของประเทศได้กำหนดไว้อย่างไรแล้ว แผนลดก๊าซเรือนกระจก(ซึ่งประมาณร้อยละ 75 ของทั้งหมดก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเกิดจาการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล) ก็ต้องโอนอ่อนผ่อนไปตามนโยบายนั้น

ผมเชื่อและมั่นใจว่า การยกเอาความจำเป็นหรือการมีอยู่ของนโยบายและแผนพัฒนาประเทศ(ซึ่งมาจากการกำหนดของรัฐบาล) มาอยู่เหนือความจำเป็นของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักของวิทยาศาสตร์ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วทั้งในเชิงทฤษฎีและผลกระทบด้านลบที่คนไทยและประชาชนทั่วโลกกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ และในอนาคตจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นอีกในอัตราเร่งทั้งปริมาณความร้อนและภัยพิบัติ

ผมเห็นว่า โลกของเรานับจากนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นนโยบายและแผนพัฒนาประเทศใดก็ตามจะต้องถูกควบคุมและบังคับด้วยกติกาใหม่ที่ประชาคมโลกได้ร่วมกันกำหนด คือ “การลดก๊าซเรือนกระจก” เหมือนกับกรณีแรงโน้มถ่วงของโลก (Gravitational Force) ที่ทำหน้าที่คอยดึงดูดวัตถุทุกชนิดไว้บนโลกหรือในชั้นบรรยากาศของโลก ไม่มีวัตถุใดในโลกนี้ได้รับการยกเว้นหรือสามารถหลีกหนีกฎของแรงโน้มถ่วงโลกได้ เมื่อวัตถุใดอยู่ในที่สูงก็จะต้องตกลงมาอยู่ในสภาพสมดุล ตามกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน การลดก๊าซเรือนกระจกก็เหมือนกันต้องไม่มีการยกเว้นให้กับประเทศใดและต้องไม่อนุญาตให้ใครหรือรัฐบาลชุดใดสามารถฝ่าฝืนได้

มีมายาคติที่คนส่วนใหญ่หลงเชื่อมานานแล้วว่า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลคือถ่านหิน น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แล้วหันไปใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ ลม นั้น จะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสูงขึ้น เป็นภาระกับผู้บริโภคนั้นไม่เป็นความจริงแล้วในปัจจุบันนี้ มันเคยเป็นความจริงเมื่อในอดีต แต่เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วมานี้ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ใช้ความรู้ของวิชาฟิสิกส์ยุคใหม่(Modern Physics) ทำให้ในปัจจุบันต้นทุนของพลังงานหมุนเวียนซึ่งแทบจะไม่ปล่อยก๊าซฯถูกกว่าของพลังงานฟอสซิลนับเป็นหลายเท่าตัว

เพื่อให้เห็นภาพของความล้าหลังของเทคโนโลยีฟอสซิลที่ทั้งไม่มีประสิทธิภาพและปล่อยก๊าซฯที่ทำให้เกิดโลกร้อน ผมขอยกตัวอย่างจากภาคการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกซึ่งในปี 2022 มีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 14,650 ล้านตัน หรือคิดเป็น 57% ของก๊าซฯที่เกิดจากทุกภาคส่วนเศรษฐกิจรวมกัน (ข้อมูล IEA, https://www.iea.org/data-and-statistics/charts/global-co2-emissions-by-sector-2019-2022)

สมมุติว่า เริ่มต้นเรามีถ่านหินกองอยู่ที่โรงไฟฟ้าเรียบร้อยแล้วจำนวน 100 หน่วยพลังงาน ในการผลิตไฟฟ้า(ซึ่งก็คืออิเล็กตรอนที่ไหลมาตามสายไฟฟ้า) เราต้องใช้ถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติมาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อต้มน้ำให้เดือดจนเป็นไอ แล้วเอาแรงดันไอน้ำไปดันให้ลูกสูบเคลื่อนไปหมุนจานขดลวดเพื่อตัดสนามแม่เหล็ก แล้วก็เกิดไฟฟ้า นับถึงขั้นตอนนี้เราได้ใช้พลังงานในรูปของไอน้ำไปแล้ว 62 หน่วยพลังงาน เราได้พลังงานในรูปของไฟฟ้าเพียง 38 หน่วยพลังงานเท่านั้นที่จะไหลเข้าสู่สายส่ง กว่าไฟฟ้าจะไหลมาถึงบ้านเราต้องสูญเสียพลังงานไปอีก เมื่อถึงบ้านพลังงานจะเหลือเพียง 32 หน่วยเท่านั้น โชคดีนะในช่วงประมาณ 10 ปีมานี้ เรามีหลอดไฟแอลอีดี (LED-ไม่เกิดความร้อน) ถ้ายังเป็นหลอดใส้เหมือนก่อนหน้านั้น เราจะได้แสงสว่างที่คิดเป็นพลังงานเพียง 2 หน่วยเท่านั้น

นักวิชาการที่เขียนหนังสือ Rooftop Revolution (Danny Kennedy,2012) ถึงกับกล่าวว่า “เป็นความไม่มีประสิทธิภาพที่น่าหัวเราะเยอะมากที่สุด ที่เราสามารถจินตนาการได้” ในขณะที่แผงโซลาร์เซลล์(ที่ผลิตบนพื้นฐานความรู้ฟิสิกส์ยุคใหม่) บนหลังคาบ้านสามารถผลิตอิเล็กตรอนได้ทันที่เมื่อแสงอาทิตย์มากระทบกับแผ่น ไม่ต้องต้มน้ำ ไม่ต้องส่งไฟฟ้าไปไกลๆ และไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย
นอกจากมายาคติเรื่องต้นทุนสูงแล้ว ยังมีอีก 2 มายาคติ คือ (1) พลังงานแสงอาทิตย์มีน้อยและไม่เสถียร และ (2) กลางคืนจะเอาไฟฟ้าที่ไหนมาใช้ ผมขอกล่าวอย่างสั้นๆ พร้อมแสดงหลักฐานการใช้งานจริงดังนี้

เอาเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์มีน้อยก่อนนะครับ นักวิทยาศาสตร์มีข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ว่า พลังงานที่มนุษย์ทั้งโลกใช้อยู่ในปัจจุบันนี้เท่ากับพลังงานแสงแดดที่ดวงอาทิตย์ส่องมาถึงโลกในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้น อย่าลืมว่าปีหนึ่งเรามี 8,760 ชั่วโมง นั่นคือ พลังงานแสงอาทิตย์มีมากเกินพอ

สำหรับเรื่อง ไม่เสถียรและกลางคืนจะเอาไฟฟ้าที่ไหนมาใช้ สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดฟังดูก็มีเหตุผลอยู่นะ แต่เรามาดูการผลิตไฟฟ้าในรัฐแคลิฟอร์ซึ่งมีจำนวนประชากร 40 ล้านคน ขนาดเศรษฐกิจโตเป็นอันดับ 5 ของโลก และได้ให้สัตยาบันต่อประชาคมโลกแล้วว่าจะผลิตไฟฟ้า 100% ด้วยแหล่งพลังงานที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี 2045

ภาพข้างล่างนี้เป็นการแสดงการผลิตไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมงของวันที่ 30 เมษายน 2021 และ 2024 มีคำอธิบายและข้อสังเกตที่สำคัญอยู่ในภาพ อย่าไปสนใจรายละเอียดอื่นมากนะครับ เดี๋ยวจะงง

หัวใจสำคัญของภาพนี้คือเราสามารถนำแบตเตอรี่มาเก็บไฟฟ้าที่ผลิตจากแสงอาทิตย์(และลมซึ่งเราไม่สามารถควบคุมได้) แล้วนำไฟฟ้าไปใช้ในตอนที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เป็นการลดการผลิตจากก๊าซธรรมชาติซึ่งมีราคาแพงและถูกปั่นราคาตามสถานการณ์โลก

ข้อมูลในบทความต้นฉบับ(อ้างถึงในรูปแล้ว) ระบุว่า ปัจจุบันรัฐแคลิฟอร์เนียมีการติดตั้งแบตเตอรี่ขนาดใหญ่แล้วจำนวน 16,000 เมกะวัตต์ชั่วโมง สามารถป้อนไฟฟ้าเข้าระบบสายส่งเพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภคกว่า 10 ล้านครัวเรือนนานเป็นเวลาหลายชั่วโมงในแต่ละวัน
ที่ผมได้กล่าวมาแล้วเป็นการเปรียบเทียบในเชิงประสิทธิภาพบนหลักการพื้นฐานของวิชาฟิสิกส์ แต่ในเชิงข้อมูลทางการตลาดจริงๆจากกลุ่มนักวิชาการในนามกลุ่ม RethinkX (ที่มี Tony Seba เป็นผู้นำ) พบว่า การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบันมีต้นถูกกว่าการผลิตจากชนิดอื่นๆ แล้ว นอกจากนี้ในช่วงปี 2010-2020 ราคาแบตเตอรี่ได้ลดลงแล้วถึง 87% และพวกได้พยากรณ์ว่าในปี 2030 ราคาจะลดลงอีก 80% ของราคาปี 2020 ราคาโซลาร์เซลล์และกังหันลมก็จะมีลักษณะคล้ายๆกันนี้

นักวิชาการของกลุ่มดังกล่าวจึงได้พยากรณ์ว่า การผลิตไฟฟ้าแบบผสมของโซลาร์ กังหันลม และแบตเตอรี่ รวมกัน 100% หรือ 100% SWB ตลอดเวลา จะมีราคาถูกกว่าการใช้พลังงานอื่นๆ ทั้งฟอสซิลและนิวเคลียร์ ภายในปี 2030 บนพื้นที่เกือบทั้งหมดของโลก โดยไม่มีความจำเป็นต้องมีการชดเชยใดๆจากรัฐบาล

ในตอนต้นของบทความ ผมได้กล่าวถึงความจำเป็นที่ประชาคมโลกจะต้องร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผมได้แสดงเหตุผลว่าทำไมผมจึงไม่เห็นด้วยกับการนำนโยบายของรัฐบาลมาอยู่เหนือความจำเป็นในการกำหนดแผนการลดก๊าซเรือนกระจก เพราะต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์นอกจากจะไม่ปล่อยก๊าซฯแล้ว ต้นทุนในการผลิตก็ถูกกว่าพลังงานฟอสซิลด้วย และไม่ปล่อย PM2.5

เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดโลกร้อน ผมขอนำเสนอข้อมูลอีก 2 ภาพ โดยไม่ต้องบรรยายอะไรมาก ภาพแรกเป็นอุณหภูมิอากาศเฉลี่ยรายเดือนของโลกตั้งแต่ปี 1950 จนถึง 2023 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของก่อนยุคอุตสาหกรรมติดต่อกันมาทุกเดือนตลอด 48 ปีที่ผ่านมา และภาพที่สอง เป็นการเปรียบเทียบร้อยละของการใช้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าของโลก สหราชอาณาจักร เวียดนาม และประเทศไทย

เมื่อได้ดู 2 ภาพนี้แล้ว ท่านผู้อ่านเห็นด้วยกับผมไหมครับว่าทั้งสถานการณ์โลกร้อน และสถานการณ์การผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยมีอาการน่าเป็นห่วงมากครับ

ที่มา ไทยพับลิก้า