
กรุงเทพฯ, 27 สิงหาคม 2568 – บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (CP) โดยนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร ร่วมเวทีเสวนาระดับประเทศ SET Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ภายใต้หัวข้อ “ศักยภาพการแข่งขันและทิศทางการลงทุนประเทศไทย” (Thailand’s Competitiveness & Investment Outlook) โดยมีผู้นำภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ อาทิ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ BOI และดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ประธานหัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมสะท้อนบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและเปิดโอกาสใหม่ด้านการลงทุนของไทย
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) เปิดเผยว่า “ในฐานะภาคเอกชน ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งในศักยภาพของประเทศไทย เครือซีพียังคงเดินหน้าลงทุนในทุกหน่วยธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็น บมจ.ซีพีแอ็กซ์ตร้า (CP Axtra) บมจ.ซีพี ออลล์ (CP ALL) บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (True Corporation) และ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) การลงทุนเหล่านี้สะท้อนถึงการมองเห็นโอกาสเติบโตในระยะยาว ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายสำคัญของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนที่ทยอยย้ายฐานการผลิตเข้ามา ด้วยความพร้อมด้านอุตสาหกรรมการผลิต ทำเลทางภูมิศาสตร์ที่โดดเด่น โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย สิทธิประโยชน์จากนโยบายทางภาครัฐ และคุณภาพชีวิตที่เอื้อต่อการดึงดูดบุคลากรคุณภาพจากทั่วโลก”

นายศุภชัยกล่าวต่อว่า “ประเทศไทยยังคงเป็นฐานการลงทุนสำคัญของภูมิภาค โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์และเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งจะกลายเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ในยุค AI-Driven Economy หากประเทศไทยสามารถเปิดเสรีด้านนโยบายได้มากขึ้น อาทิ การอนุญาตให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้ถึง 99 ปี จะยิ่งสร้างความมั่นใจและดึงดูดการลงทุนระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าขณะนี้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังผลักดันนโยบายเพื่อเอื้อต่อการลงทุนระยะยาวอย่างจริงจัง”
ในประเด็นมาตรการภาษีของสหรัฐฯ นายศุภชัยชี้ว่า “แม้สหรัฐฯ จะใช้มาตรการทางภาษีกับหลายประเทศ รวมถึงคู่แข่งทางการค้าของไทย แต่ประเทศไทยยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ หากปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานและเชิงนโยบายอย่างเหมาะสม ซึ่งอาจกลายเป็นโอกาสในการเปลี่ยนผ่านประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี และถั่วเหลือง ยังคงเป็นโจทย์สำคัญ ภาครัฐจึงต้องส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง สนับสนุนเกษตรกรไทยให้ปรับตัวสู่การผลิตที่มีมูลค่าสูงขึ้น ขณะที่สินค้าศักยภาพ เช่น ข้าวหอมมะลิที่ทั่วโลกยังมีความต้องการสูง เราต้องใช้เทคโนโลยีและการบริหารจัดการที่ดีขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิต ส่วนผลไม้ไทยยังเป็นสินค้าส่งออกที่มีความต้องการมหาศาล โดยเฉพาะในตลาดจีน ไทยต้องบริหารจัดการผลผลิตและการส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ”
พร้อมกันนี้ นายศุภชัย ยังเน้นย้ำว่า “ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อดึงดูดทั้งนักลงทุนและบุคลากรต่างชาติที่มีความสามารถ เพื่อช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้และยกระดับทักษะแรงงานไทย อีกทั้งไทยต้องรักษาสมดุลเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ด้วยทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ ต้องยึดความเป็นกลางและสร้างคุณค่าต่อทั้งจีนและสหรัฐฯ ผ่านความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์ โดยการพัฒนาระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงภูมิภาค (จีน–ไทย–มาเลเซีย–กัมพูชา–เวียดนาม) จะไม่เพียงเสริมศักยภาพให้ไทย แต่ยังสร้างความเชื่อมโยงที่ทรงคุณค่าต่อคู่ค้าระดับโลกด้วย”
“ขณะเดียวกัน ไทยยังต้องให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ เนื่องจากเกษตรกรรมยังเป็นฐานรายได้หลักของประชากรไทยกว่า 40% ซึ่งยังคงทำการเกษตรแบบดั้งเดิม จึงควรปฏิรูปผ่านสหกรณ์ การใช้ดิจิทัลและเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ภาคการเกษตรจึงยังเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทย ควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ หากดำเนินการด้วยวิสัยทัศน์แบบผู้นำและการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ประเทศไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจในอนาคต” นายศุภชัยกล่าวทิ้งท้าย

เช่นเดียวกับ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ตอกย้ำความเชื่อมั่นของศักยภาพประเทศ โดยระบุว่า “การยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปีที่ผ่านมาแตะระดับสูงสุดกว่า 1 ล้านล้านบาท หรือราว 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 35% จากปีก่อนหน้า และในครึ่งแรกของปี 2568 ยังคงเติบโตต่อเนื่องกว่า 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วโลก โดยประเทศที่ลงทุนมากสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และญี่ปุ่น ขณะที่อุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนการลงทุนยังคงเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และยานยนต์”
“ไทยมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันจากโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจร ทั้งท่าเรือน้ำลึก สนามบินนานาชาติ และนิคมอุตสาหกรรมกว่า 70 แห่ง รวมถึงความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและดาต้าเซ็นเตอร์ อีกทั้งยังมีเครือข่าย FTA 17 ฉบับ ครอบคลุม 24 ประเทศ และอยู่ระหว่างเจรจากับคู่ค้าสำคัญ เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา และเกาหลีใต้ ขณะที่ภาครัฐยังเดินหน้าสนับสนุนมาตรการพลังงานสะอาด เพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งออกสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการอำนวยความสะดวกผ่านศูนย์บริการนักลงทุนแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางการลงทุนที่ยั่งยืนในภูมิภาค”
“สำหรับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ และความท้าทายระดับโลก รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการ “อุตสาหกรรมอัจฉริยะและยั่งยืน” (Smart & Sustainable Industry) เพื่อสนับสนุนนักลงทุนในการปรับตัว โดยเน้นการอัปเกรดโรงงาน ใช้เครื่องจักรใหม่ และนำระบบอัตโนมัติ รวมถึงเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต นอกจากนี้ยังมีโครงการส่งเสริมการผลิตในประเทศ (Localization) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับบริษัทที่สามารถใช้ส่วนประกอบในประเทศครบตามเกณฑ์” นายนฤตม์ กล่าวสรุป
ด้าน ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ประธานบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ประเทศไทยมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์และนโยบายรัฐที่ชัดเจน ทั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และการส่งเสริมดิจิทัล ทำให้ไทยมีศักยภาพก้าวขึ้นสู่ศูนย์กลางเทคโนโลยีของภูมิภาคและเชื่อมโยงสู่ระดับโลก โดยเฉพาะความต้องการเทคโนโลยีดิจิทัลทั้ง AI, Data Center และระบบคลาวด์ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม”
“หัวเว่ยเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย เราเข้ามาลงทุนระยะยาวตั้งแต่เริ่มต้น โดยจดทะเบียนเป็นบริษัทไทยอย่างสมบูรณ์ ดำเนินธุรกิจตามกฎหมายไทย และพร้อมสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ” ดร.ชวพลกล่าว พร้อมย้ำถึงความสัมพันธ์ไทย-จีนที่แน่นแฟ้นในทุกช่วงเวลา แม้เผชิญวิกฤต
ในประเด็นสงครามการค้าและมาตรการภาษีใหม่จากสหรัฐ มองว่าเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสที่ทำให้ไทยต้องเร่งกระจายความเสี่ยงและยกระดับเศรษฐกิจ โดยนอกจากการผลิต ไทยยังมีจุดแข็งในภาคเกษตร การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม เพียงต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสร้างประสิทธิภาพและเพิ่มมูลค่า



