
ย่างกุ้ง, เมียนมา | 16 ตุลาคม 2568 – สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) สมาคมผู้ประกอบการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมียนมา (MCIA) และ Control Union จากเนเธอร์แลนด์ จัดพิธีรับรองความสำเร็จครบรอบ 1 ปีของ “ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเมียนมา” (Myanmar Corn Traceability System) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการแก้ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนและผลักดันการค้าเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ก่อนที่ประเทศไทยจะเริ่มใช้ มาตรการข้าวโพดปลอดการเผา อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2569 พิธีดังกล่าวจัดขึ้น ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงย่างกุ้ง โดยมีหน่วยงานสำคัญจากทั้งสองประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ทั้งจากกระทรวงพาณิชย์ สำนักงาน GISTDA ของไทย สมาคม MCIA ของเมียนมา และภาคเอกชนผู้ประกอบการหลักในห่วงโซ่อุปทาน ได้แก่ CPP Fertilizer, Bangkok Produce Merchandising (BKP) และ Myanmar C.P. Livestock ซึ่งทั้ง 4 รายนี้ได้รับมอบ Traceability Recommendation Letter จาก Control Union เพื่อรับรองผลการดำเนินงานในระบบตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่คุณค่าอย่างเป็นทางการ

คุณมงคล วิศิษฏ์สตัมภ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็น “ต้นแบบเชิงนโยบาย” ที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฟ้าใสของไทยสู่ภาคปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้ระบบ Traceability ที่พัฒนาร่วมกันระหว่างภาครัฐเมียนมา สมาคม MCIA และเครือซีพี ภายใต้เทคโนโลยีดาวเทียมขั้นสูง เช่น Sentinel-2 ของ ESA และ QR Code ตรวจสอบย้อนกลับ โดยมีการรับรองจาก Control Union ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ยืนยันได้ว่าข้าวโพดทุกเมล็ดไม่บุกรุกป่า ไม่ผ่านการเผา และสามารถตรวจสอบต้นทางได้แบบ real-time

คุณเอกวัฒน์ ธนประสิทธิ์พัฒนา อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ ระบุว่า เมียนมาคือ “คู่ค้ายุทธศาสตร์” ของไทยในการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การยกระดับระบบตรวจสอบย้อนกลับนี้จึงมีความสำคัญต่อความเชื่อมั่นของตลาด และสอดคล้องกับแนวโน้มการค้าโลกที่เน้นความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
คุณอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงว่า มาตรการนำเข้าข้าวโพดปลอดการเผาของไทยที่จะเริ่มวันที่ 1 ม.ค. 2569 แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะปรับตัว และระยะบังคับใช้เต็มรูปแบบ โดยในช่วงแรกสามารถยื่นเอกสาร Self-Declaration หรือใบรับรองจากหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับ ส่วนระยะถัดไปจะต้องมีเอกสารครบถ้วนทั้งใบรับรองจากหน่วยงานรับรอง (CA/CB/VVB), เอกสารนำเข้า และแผนที่แสดงพิกัดแปลงปลูก พร้อมระบบ Post Audit เก็บข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี เพื่อรองรับการตรวจสอบ
อธิบดีฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือจากประเทศผู้ส่งออก โดยเฉพาะการจัดตั้งหน่วยงานรับรองภาครัฐ และการเตรียมข้อมูลการเพาะปลูกของเกษตรกรจะทำให้มาตรการนี้มีความน่าเชื่อถือและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล พร้อมยกย่องบทบาทของเครือซีพีและสมาคม MCIA ที่พัฒนาระบบนี้ร่วมกันจนกลายเป็นต้นแบบความยั่งยืนในระดับภูมิภาค

คุณอู เอ ชาน อ่อง ประธาน สมาคมผู้ประกอบการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมียนมา หรือ MCIA เปิดเผยว่า สมาคมได้พัฒนาและนำระบบ Traceability มาใช้ตั้งแต่ปี 2023 โดยใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม และระบบตรวจจับความร้อน เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจากผู้ซื้อ ผู้ผลิต และเกษตรกรเข้าด้วยกันอย่างโปร่งใส เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเดินหน้าผลักดันให้รัฐเมียนมาเข้ามาร่วมรับรองระบบในอนาคต

คุณฐิติ ลุจินตนานนท์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า ความร่วมมือไทย–เมียนมา สู่ห่วงโซ่อุปทานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ยั่งยืนในครั้งนี้ โดยใช้ “ระบบตรวจสอบย้อนกลับ” ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะแสดงศักยภาพในการยกระดับมาตรฐานการค้า สร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศ และร่วมกันลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น หมอกควันข้ามพรมแดน ซึ่งเครือซีพีมีนโยบายชัดเจนไม่รับซื้อข้าวโพดจากพื้นที่บุกรุกป่า หรือพื้นที่ที่เกิดจากการเผาแปลง จึงได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเดินหน้าระบบตรวจสอบย้อนกลับ โดยเชื่อมั่นว่าระบบนี้คือเครื่องมือสำคัญที่จะแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติจริงด้วยความโปร่งใส ระบบ Traceability ช่วยให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ครอบคลุมทั้งกระบวนการ ตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ถึงปลายทางโรงงานอาหารสัตว์ โดยปีที่ผ่านมา CP ร่วมกับ MCIA และคู่ค้ากว่า 100 ราย ขับเคลื่อนระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับ พ.ร.บ. อากาศสะอาด และนโยบาย Zero Burn ของไทยในปี 2569

คุณวรสิทธิ์ สิทธิวิชัย ประธานคณะผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจพืชครบวงจร เขตเมียนมา เผยว่า การใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับในปีที่ผ่านมา ช่วยลดจุดความร้อนในพื้นที่ปลูกข้าวโพดลงเกือบครึ่ง สะท้อนถึงประสิทธิภาพของระบบในการควบคุมการเผาและป้องกันการบุกรุกป่า ระบบตรวจสอบย้อนกลับถือเป็นเครื่องมือเชิงวิทยาศาสตร์ที่ทั่วโลกยอมรับ และสำหรับในเมียนได้รับการทวนสอบจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ถือเป็นกลไกที่ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ ‘ฟ้าใส’ ของรัฐบาลไทย ในการแก้ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนระหว่างไทย เมียนมา และลาว

คุณจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ผู้บริหารสูงสุดด้านความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี กล่าวว่า ซีพีผลักดันและดำเนินการจัดทำระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างจริงจัง เพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดหาวัตถุดิบให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยั่งยืน เริ่มต้นในไทยตั้งแต่ปี 2559 และขยายสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาในปัจจุบัน เป็นไปตามวิสัยทัศน์และนโยบายจากนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารของเครือฯ ขับเคลื่อนนโยบาย “ไม่รับซื้อ-ไม่นำเข้าข้าวโพดจากพื้นที่บุกรุกป่าหรือมีการเผา โครงการนี้คือผลลัพธ์ของ “ความเชื่อมั่นและความร่วมมือ” ระหว่างภาคี 3 ฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการหยุดการเผาและผลักดันสู่ห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน
Mr. Stephan Moreels กรรมการผู้จัดการ Control Union ประเทศไทย กล่าวว่า ระบบตรวจสอบย้อนกลับคือเครื่องมือสำคัญในการตอบโจทย์ตลาดโลกทั้งด้านความปลอดภัยอาหาร ความยั่งยืน และแหล่งที่มาไร้การตัดไม้ โดย Third-Party Verification คือหัวใจในการสร้างความเชื่อมั่นตลอดห่วงโซ่อุปทาน ลดความเสี่ยงจากข้อมูลเท็จ และเปิดทางสู่ตลาดคุณภาพสูง

ดร.ปกรณ์ เพ็ชรประยูร ผอ. GISTDA กล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีดาวเทียมในการตรวจจับจุดความร้อน โดย GISTDA ใช้ดาวเทียมหลากหลาย เช่น VIIRS และ MODIS เพื่อช่วยติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ และพัฒนาแพลตฟอร์มคุณภาพอากาศระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายสู่ท้องฟ้าอาเซียนปลอดฝุ่น

ทั้งนี้ ภายในงานมีเยาวชนคนรุ่นใหม่จากเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ในนาม One Young World เข้าร่วมกิจกรรม โดยมี คุณภัทราภรณ์ พลอยวิเลิศ จากเครือเจริญโภคภัณฑ์ คุณธนกร ซื่อสัตย์พาณิชย์ จาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และ คุณวนิดา ถวิลการ จากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด ร่วมกันเป็นผู้นำแคมเปญ “#FIGHTหมอกควัน: พลังคนรุ่นใหม่ เพื่ออากาศสะอาด… เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” ทั้งนี้เยาวชนทั้งสามได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกับหน่วยงานทั้ง 4 ที่ได้รับการรับรอง พร้อมร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนมุมมองกับ คุณมงคล วิศิษฏ์สตัมภ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง ถึงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ฟ้าใส” และการพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับอย่างยั่งยืน


ความสำเร็จของโครงการตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเมียนมาในวันนี้ คือผลลัพธ์ของความร่วมมือระดับภูมิภาคที่แท้จริง ที่เชื่อมโยงนโยบาย ความมุ่งมั่น และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เพื่อวางรากฐานของ “ห่วงโซ่อาหารปลอดฝุ่น” ที่โปร่งใส ยั่งยืน และมีความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน ถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่ไม่เพียงตอบโจทย์ประเทศไทย แต่พร้อมต่อยอดสู่ภูมิภาคอาเซียนและตลาดโลกได้อย่างมั่นคง



