
12 พฤศจิกายน 2568 — เจิ้งโจว ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน: ท่านประธานอาวุโสธนินท์ เจียรวนนท์ และท่านประธานกรรมการสุภกิต เจียรวนนท์ พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงของเครือซีพีจากประเทศไทย เวียดนาม และจีน เดินทางไปยังศูนย์วิจัยและพัฒนาของมู่หยวน กรุ๊ป (Muyuan Group) เพื่อเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ และเยี่ยมชมรูปแบบฟาร์มสุกรอาคารสูงซึ่งเป็นนวัตกรรมสำคัญของบริษัท โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคณะผู้บริหารระดับสูงของมู่หยวน นำโดยนายฉิน อิงหลิน ประธานกรรมการ
มู่หยวนกรุ๊ปเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสุกรครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของจีน ดำเนินธุรกิจตั้งแต่การปรับปรุงพันธุ์ การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสุกรด้วยระบบอัจฉริยะ ไปจนถึงการชำแหละและแปรรูป โดยโดดเด่นด้านการควบคุมสุขอนามัยและความปลอดภัยทางชีวภาพ ตลอดจนพัฒนาฟาร์มสุกรอาคารสูง หรือ “คอนโดหมู” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและรับมือกับความท้าทายด้านโรคระบาดในอุตสาหกรรม

ในการเยือนครั้งนี้ คณะผู้บริหารเครือซีพีได้ศึกษานวัตกรรมการเลี้ยงสุกรยุคใหม่ และหารือเชิงลึกด้านกลยุทธ์กับผู้บริหารมู่หยวน เพื่อเปิดแนวทางความร่วมมือเทคโนโลยีปศุสัตว์ในอนาคต คณะยังได้เยี่ยมชมฟาร์มสุกรระบบอาคารสูง (Vertical Barn / Multi-level Barn) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของมู่หยวน ฟาร์มดังกล่าวประกอบด้วยอาคารสูง 6 ชั้น จำนวน 16 หลัง แต่ละหลังกว้าง 96 เมตร ยาว 240 เมตร ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะบริหารจัดการฟาร์มครบวงจร สามารถประหยัดพื้นที่ได้กว่า 125 ไร่ ในอาคารทั้งหมดนี้ 5อาคารรองรับแม่สุกร 8,400 แม่ และอีก 11 อาคาร รองรับแม่สุกร 7,000 แม่ โดยแบ่งโซนดูแลตามช่วงอายุสุกรอย่างเป็นระบบ
ด้านกำลังการผลิต มู่หยวนผลิตได้ 3.5 ล้านตัวต่อปี โดยแต่ละอาคารผลิตได้ชั้นละ 36,458 ตัว/ปี หรืออาคารละ 218,750 ตัว/ปี นอกจากนี้อาคารทั้ง 16 หลังในฟาร์มแห่งนี้สามารถผลิตแม่สุกรประมาณ 116,666 ตัวต่อปี
การผลิตสุกรในอาคารสูงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อพื้นที่ได้มากถึง 6 เท่า จึงถูกขนานนามว่า “คอนโดหมู (hog-hotel)” และได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นแบบฟาร์มสุกรแห่งอนาคต
จากนั้น คณะผู้บริหารเครือซีพีได้เยี่ยมชมศูนย์ Breeding ของมู่หยวน ศึกษาตั้งแต่ระบบปรับปรุงพันธุกรรม เทคโนโลยีตรวจสุขภาพสัตว์ ไปจนถึงระบบข้อมูลพันธุ์และการจัดการสายพันธุ์เพื่อเพิ่มผลผลิต ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความเชี่ยวชาญระดับโลกของมู่หยวน
หลังการเยี่ยมชม ทั้งสองฝ่ายได้จัดประชุมเชิงกลยุทธ์ครอบคลุมประเด็นสำคัญ อาทิ ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและระบบอัจฉริยะ การพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติการฟาร์ม การบริหารต้นทุนและ Productivity Improvement ตลอดจนโอกาสขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศ และการสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมปศุสัตว์ร่วมกันในอนาคต

ทั้งซีพีและมู่หยวนเห็นพ้องว่า ความร่วมมือบนพื้นฐาน “ทรัพยากรเกื้อหนุนกัน (Resource Complementarity)” จะเร่งการพัฒนานวัตกรรมใหม่ในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และช่วยเปิดตลาดใหม่ทั้งในจีนและภูมิภาคต่างประเทศ
ความร่วมมือครั้งนี้จึงถือเป็น “หมุดหมายสำคัญ” ของทั้งสององค์กร ในการร่วมกันสร้างโมเดลอุตสาหกรรมปศุสัตว์ยุคใหม่ และผลักดันให้จีนและไทยมีบทบาทนำในอุตสาหกรรมอาหารของโลก

