โลกร้อนเป็นเหตุ! ผลผลิตลด ดันราคาเมล็ดกาแฟพุ่งไม่หยุด ราคาสูงสุดในรอบ 11 ปี

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราจะเห็นสินค้าอุปโภคและบริโภคพาเหรดปรับขึ้นราคากันไม่หยุด ไม่เว้นแม้แต่ “เมล็ดกาแฟ” ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำเมนู “กาแฟ” ต่างๆ ที่เราดื่มกันทุกวันนี้ ก็ปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ร้านกาแฟเผชิญกับต้นทุนสูงขึ้น หลายเจ้าจึงพากันปรับขึ้นราคาเครื่องดื่มกันถ้วนหน้า ตั้งแต่ 5 บาท ไปจนถึง 10 บาท ทำเอาคอกาแฟจุกกันไป เพราะเหตุใดเมล็ดกาแฟถึงปรับขึ้นราคาอย่างรวดเร็ว และในปีหน้าราคาจะปรับขึ้นอีกหรือไม่?  เราจะพามาค้นหาคำตอบเรื่องนี้ให้ชัดไปพร้อมกัน

สภาพอากาศแปรปรวน ต้นเหตุดันราคากาแฟพุ่งสูงสุดในรอบ 11 ปี

หลายคนอาจคิดว่า การที่ราคาเมล็ดกาแฟปรับตัวสูงขึ้นน่าจะมาจากราคาวัตถุดิบต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า สาเหตุหลักเกิดมาจากวิกฤต “สภาพอากาศ” แปรปรวนอย่างหนักตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2564 จนถึงปัจจุบัน ทำให้แหล่งปลูกกาแฟเบอร์ต้นๆ ของโลกอย่าง “บราซิล” และ “เวียดนาม” ที่ครองสัดส่วนผลผลิตกว่า 56% ของปริมาณผลผลิตกาแฟทั้งโลก มีผลผลิตเมล็ดกาแฟ “ลดลง”

โดยประเทศบราซิล ผู้ผลิตกาแฟพันธุ์อาราบิก้ารายใหญ่ของโลก ต้องเผชิญทั้งภาวะภัยแล้งรุนแรง และปรากฎการณ์น้ำค้างแข็งปกคลุมอย่างหนักแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่งผลให้ผลผลิตกาแฟลดลงฮวบๆ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลผลิตกาแฟของบราซิลในปีนี้อาจลดลงราวร้อยละ 11 และอาจมีสต็อกลดลงต่ำสุดในรอบ 23 ปี ด้านประเทศเวียดนาม ผู้ผลิตกาแฟพันธุ์โรบัสต้ารายใหญ่สุดของโลกก็เผชิญภาวะน้ำท่วมจากพายุโซนร้อนอย่างรุนแรง ทำให้ปริมาณสต๊อกกาแฟลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง ขณะที่ประเทศผู้ผลิตกาแฟอื่นๆ อย่างโคลัมเบีย ก็ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนัก ทำให้คาดว่าผลผลิตกาแฟในบางพื้นที่ของโคลัมเบียปีนี้อาจลดลงถึงร้อยละ 50

 

จากสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างหนัก จึงเป็นปัจจัยให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟลดลง และนำไปสู่สภาวะ Supply Shock จนทำให้ราคาเมล็ดกาแฟ “พุ่ง” ขึ้นอย่างรวดเร็ว สะท้อนได้จากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ราคากาแฟอาราบิก้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.3 (YoY) และราคากาแฟโรบัสต้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.3 (YoY) นับเป็นราคาเฉลี่ยที่พุ่งสูงสุดในรอบ 11 ปี

ขณะเดียวกัน ไทยยังต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟเป็นหลัก เพราะผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ คือ ผลิตได้เพียงร้อยละ 25 ของความต้องการใช้ เนื่องจากคนไทยนิยมดื่มกาแฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15% ต่อปี หรือดื่ม 300 แก้วต่อคนต่อปี คิดเป็น 1.18 กิโลกรัมต่อคนต่อปี โดยในปี 2559-2561 ไทยผลิตกาแฟได้ 27,467 ตัน แต่มีความต้องการใช้ในประเทศ 84,962 ตัน ขณะที่ในปี 2564 ไทยผลิตกาแฟได้เพียง 21,773 ตัน แต่มีความต้องการใช้ในประเทศราว 86,701 ตัน และในปี 2565 คาดว่า ไทยจะมีความต้องการใช้ในประเทศราว 89,208 ตัน แต่คาดว่าจะผลิตได้เพียง 20,569 ตันเท่านั้น ส่งผลให้ไทยต้องนำเข้ากาแฟเพิ่มขึ้น

โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ไทยมีปริมาณการนำเข้ากาแฟเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 (YoY) และต้องเผชิญราคากาแฟนำเข้าที่สูงขึ้นราวร้อยละ 30.6 (YoY) สำหรับท้ังปี 2565 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าการนำเข้ากาแฟของไทยจะอยู่ที่ 163 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัวประมาณร้อยละ 27 จากปีก่อน 

คาดผลผลิตกาแฟ “ลดลง” ลากยาว 3 ปี ทำราคากาแฟแพงต่อเนื่อง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลผลิตกาแฟโลกอาจอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องราว 3 ปีจากนี้ จนกว่าผลผลิตกาแฟรอบใหม่ของบราซิลจะออกสู่ตลาดในราวปี 2568 เพื่อชดเชยผลผลิตที่เสียหายเดิม ประกอบกับความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันผลผลิตกาแฟ และดันราคากาแฟโลกให้ทรงตัวในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลต่อไทยที่เป็นผู้นำเข้ากาแฟ

ยิ่งในช่วงที่เงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ฯ โดยเฉพาะผู้ประกอบการแปรรูปและร้านกาแฟอาจต้องเผชิญต้นทุนเมล็ดกาแฟที่สูงขึ้น แต่น่าจะยังไม่ขาดแคลนเมล็ดกาแฟเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในระยะสั้น เพราะบางส่วนอาจถูกชดเชย ด้วยผลผลิตภายในประเทศที่กำลังเริ่มทยอยออกสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมกับต้นทุนการผลิตอื่นๆ ของผู้ประกอบการ ทำให้ผู้บริโภคปลายทางอาจต้องจ่ายกาแฟต่อแก้วในราคาที่ปรับสูงขึ้นอีกในระยะข้างหน้า

แนะเกษตรกรไทย ยกระดับการผลิตสู่กาแฟคุณภาพ 

แม้ผลผลิตกาแฟไทยยังมีสัดส่วนน้อย แต่ราคากาแฟในตลาดโลกที่ปรับตัวสูง จะช่วยหนุนราคากาแฟไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ให้สามารถประคองตัวในระดับดีได้ สอดคล้องกับความต้องการในตลาดที่เริ่มทยอยฟื้นตัวแบบระมัดระวัง แม้ราคาบางส่วนจะถูกลดทอนจากปัจจัยด้านฤดูกาลที่ไทยกำลังเริ่มมีผลผลิตกาแฟทยอยออกสู่ตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ที่ราวร้อยละ 20 ของปริมาณผลผลิตกาแฟทั้งฤดูกาล

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เกษตรกรไทยที่มีผลผลิตกาแฟเกรด Commercial อยู่แล้ว อาจได้รับอานิสงส์จากราคากาแฟที่เกษตรกรขายได้ทั้งสายพันธุ์โรบัสต้าและอาราบิก้าที่น่าจะทรงตัวในกรอบที่ดีได้ ดังนี้

  • ไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 คาดว่า ราคากาแฟโรบัสต้าและอาราบิก้าที่เกษตรกรขายได้น่าจะอยู่ที่ราว 82 และ 151 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ จากความต้องการที่มีรองรับในจังหวะที่ผลผลิตโลกยังคงตึงตัว
  • ไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 คาดว่า ราคาน่าจะยืนสูงต่อเนื่องได้ โดยราคากาแฟโรบัสต้าและอาราบิก้าที่เกษตรกรขายได้น่าจะอยู่ที่ราว 80-82 และ 149-151 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ อย่างไรก็ดี คงเป็นราคาที่ย่อลงเล็กน้อยจากช่วงก่อนหน้า เนื่องจากปัจจัยฉุดด้านฤดูกาลของไทยที่จะมีผลผลิตกาแฟออกสู่ตลาดจำนวนมาก คิดเป็นร้อยละ 80 ของปริมาณผลผลิตกาแฟทั้งฤดูกาล

ในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผลผลิตกาแฟในเกรด Commercial ที่เน้นขายเชิงปริมาณ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่ม Mass น่าจะมีผลผลิตที่มีความไม่แน่นอนสูง จากสภาพอากาศที่มีแนวโน้มแปรปรวนมากขึ้น ดังนั้น ไทยควรเร่งยกระดับสู่แนวทางการผลิตกาแฟในเชิงคุณภาพมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบความผันผวนด้านราคาตลาดโลก และอาจช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าได้อีกทางหนึ่ง

สำหรับแนวทางของเกษตรกรเพื่อยกระดับไปสู่การผลิตกาแฟเกรดคุณภาพ เช่น การคัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับทำเลที่ปลูก การเลือกเก็บเกี่ยวเพาะผลที่สุก การปลูกแบบออร์แกนิก การพัฒนาเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ การปลูกที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม การพัฒนากระบวนการแปรรูปให้ได้คุณภาพ การมีใบรับรองคุณภาพมาตรฐานสินค้าระดับสากล และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักผ่านการส่งประกวด เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เน้นคุณภาพสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งปัจจุบันไทยมีศักยภาพในการผลิตเมล็ดกาแฟที่มาจากแหล่งเพาะปลูกเดียว (Single Origin) โดยเฉพาะในภาคเหนือที่เป็นสายพันธุ์อาราบิก้าที่มีชื่อเสียง เช่น กาแฟอมก๋อย จ.เชียงใหม่ กาแฟเวียงสา จ.น่าน โดยราคา อาราบิก้าเกรดคุณภาพมีราคาประมูลสูงสุดที่ 6,400 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่เกษตรกรในภาคใต้ ควรเน้นไปที่การปลูกกาแฟโรบัสต้าเกรดคุณภาพมากขึ้ น เพื่อชดเชยผลผลิตโรบัสต้าเดิมที่ลดลงในช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้ กาแฟโรบัสต้าเกรดคุณภาพอย่างไฟน์โรบัสต้ามีราคาประมูลสูงสุดสุดถึง 20,000 บาทต่อกิโลกรัม

ส่วนโอกาสการส่งออกกาแฟไทย นับว่ามีความท้าทายต่อการแข่งขันในเชิงปริมาณ เนื่องจากไทยมีผลผลิตเพียงร้อยละ 0.2 ของผลผลิตกาแฟทั้งโลก ผนวกกับราคาส่งออกเมล็ดกาแฟไทยที่สูงกว่าเวียดนาม ด้วยต้นทุนการผลิตของไทยที่สูงกว่า และผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำกว่า ทำให้ไทยยากที่จะแข่งขันในการส่งออกเมล็ดกาแฟไปยังตลาดโลก

ขณะที่การส่งออกผลิตภัณฑ์กาแฟ นับว่ากาแฟไทยยังเป็นที่ต้องการ และยอมรับในตลาดโลก สะท้อนจากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ไทย มีปริมาณส่งออกกาแฟสำเร็จรูป (3 in 1) ขยายตัวร้อยละ 8.1 (YoY) ตามความต้องการที่มีรองรับ เนื่องจากผู้บริโภคมองหาทางเลือกเพื่อลดผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อในระดับสูง (โรบัสต้าเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ทำกาแฟส าเร็จรูปจะมีราคาถูกกว่าอาราบิก้าที่เป็นวัตถุดิบหลักของกาแฟสด) ซึ่งจะเป็นโอกาสในการส่งออกกาแฟสำเเร็จรูปของไทยในระยะต่อไปด้วย

ที่มา Brand Buffet