หอการค้าไทยหนุนรัฐไม่ล็อกดาวน์ ชี้เพิ่มความเข้ม กระทบเศรษฐกิจระยะสั้น

หอการค้าไทยขอบคุณรัฐบาลไม่ล็อกดาวน์ประเทศ ชี้การยกระดับพื้นที่เป็นสีส้ม 69 จังหวัด มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจบ้าง แต่แค่สั้น ๆ ขึ้นอยู่กับว่าช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่หากปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข ทำงานที่บ้าน เชื่อว่าลดลงแน่ แนะรัฐดูแลเรื่อง ATK ให้คนเข้าถึงได้ง่าย ทั้งราคาและคุณภาพ พร้อมแนะรัฐปรับมาตรการนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ

คุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยขอบคุณรัฐบาลที่ฟังเสียงผู้ประกอบการ โดยใช้การยกระดับพื้นที่ให้เป็นระดับสีส้ม หรือพื้นที่ควบคุม 69 จังหวัด และไม่ได้เป็นการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ แม้ว่าการยกระดับมาตรการดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจโดยรวมบ้าง แต่เชื่อว่าเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ว่าจะมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด

“ช่วงเวลาต่อจากนี้ ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเป็นจุดเปลี่ยนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ หากทุกคนให้ความร่วมมือ ช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด รวมถึงใช้มาตรการ WFH ตามคำแนะนำถึงปลายเดือน ม.ค. เชื่อว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อน่าจะมีแนวโน้มที่ลดลงได้”

ทั้งนี้ ในส่วนของภาคธุรกิจ ต้องพยายามควบคุมและนำมาตรการต่าง ๆ มาใช้อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด เพราะคงไม่มีใครต้องการกลับไปอยู่ในสถานการณ์เช่นปีที่ผ่านมา ในขณะที่ภาคประชาชน ก็ต้องดูแลสุขอนามัยของตัวเองให้มากขึ้น ไม่เดินทางหรือพาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงสถานประกอบที่ไม่ใส่ใจและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางสาธารณสุข ก็ต้องเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทยได้มีการแจ้งให้หอการค้าจังหวัดและสมาคมการค้า ช่วยกำกับดูแลผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกด้วย และเสนอว่าภาครัฐต้องเข้ามาดูแลเรื่องราคาและการเข้าถึงของ ATK ให้มากขึ้น ทั้งในด้านราคาและคุณภาพ เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจหาเชื้อเบื้องต้น ต้องทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย และกระตุ้นให้เกิดการใช้อย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่ผู้ประกอบการก็ต้องไม่เอาเปรียบประชาชนในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้

คุณสนั่นกล่าวว่า สำหรับการเลื่อนเปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ออกไปนั้น อาจจะกระทบต่อผู้ประกอบการบ้าง เพราะธุรกิจกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบมากอย่างยาวนาน แต่หากเปิดในช่วงเวลานี้ ก็อาจจะเร่งการแพร่กระจายเชื้อมากขึ้น ทั้งนี้ การอนุญาตให้ปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สามารถเปิดเป็นร้านอาหารได้แทน ก็ถือเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบได้ส่วนหนึ่ง นอกจากนั้น พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (พื้นที่สีฟ้า) 8 จังหวัด ยังอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ถึง 3 ทุ่ม (จากเดิม 5 ทุ่ม) ก็เป็นแนวทางที่เหมาะสมในช่วงเวลาเช่นนี้ เพราะหากห้ามการดื่มทั้งหมด จะเป็นการทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวอย่างมาก

ส่วนการเปิดรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรในพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว 3 จังหวัด/พื้นที่ ได้แก่ สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า) พังงา และกระบี่ (ทั้งจังหวัด) ตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค.2565 นั้น จะเป็นตัวเสริมให้การท่องเที่ยวค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น และนักเดินทางมีตัวเลือกเพิ่มจากจังหวัดภูเก็ต แต่ก็ต้องมีมาตรการควบคุมที่ดีควบคู่กันไป และภาคเอกชนเสนอให้ภาครัฐทยอยเพิ่มพื้นที่ที่มีความพร้อมในระยะต่อไปด้วย สำหรับประเด็นที่ยังมีการระงับการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในรูปแบบ Test&Go นั้น หอการค้าไทยคิดว่า การระงับไปนั้น จะกระทบต่อชื่อเสียงหรือภาพลักษณ์ของประเทศ รวมทั้งภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น สายการบิน ผู้เดินทาง ผู้ประกอบการ แรงงานที่ได้รับการจ้างงานอาจถูกเลิกจ้าง ดังนั้น ภาครัฐอาจจะใช้วิธีการปรับมาตรการเพิ่ม เช่น ยกระดับการตรวจเพิ่มเติมก่อนเดินทางเข้าประเทศ 2 ครั้ง (ตรวจล่วงหน้า 6 วัน และ 3 วัน ก่อนเดินทาง) เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เป็นแหล่งแพร่เชื้อ แล้วค่อยมาเข้าระบบ Test&Go ที่ประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งมาตรการนี้ บางประเทศก็ได้มีการนำมาปรับใช้แล้ว

 

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์