คุณนพปฎล เดชอุดม ร่วมเวทีเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย ชูโครงการ “ไก่ไข่ครบวงจร 3 ล้านตัว ผิงกู่” ต้นแบบ Circular Economy สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างยั่งยืน เรียกร้องภาคเอกชนเป็นผู้นำร่วมขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม

วันนี้ (7 ตุลาคม 2563) – เครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย Thailand Responsible Business Network (TRBN) จัดสัมมนาออนไลน์ Circular Economy in Action : Game Changer เพื่อรับฟังมุมมองแนวคิดกลยุทธ์การดำเนินงานของภาคธุรกิจที่เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยมี คุณนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ดร.ชญาน์ จันทวสุ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารความยั่งยืน และภาพลักษณ์องค์กร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล นายโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ น.ส.สุรัชนี ลิ่มอติบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บจก.กิมไป๊ ลามิทิวบ์ ร่วมเสวนา ดำเนินรายการโดย ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล รองคณบดีและอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คุณนพปฏล เดชอุดม กล่าวว่า การสร้างให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ในประเทศไทยให้สำเร็จจะต้องมี Push and Pool โดยผู้ผลิตสินค้าและบริการมีการตระหนักรู้มากขึ้น และผู้บริโภคเองก็จะต้องเห็นถึงความแตกต่าง และเข้าใจประโยชน์ของเศรษฐกิจหมุนเวียนไปด้วยกันจึงจะทำให้เกิดความยั่งยืนขึ้นได้ ทั้งนี้ ปัจจุบันปัญหาสภาพแวดล้อมอยู่ในขั้นน่าเป็นห่วง ซึ่งสหประชาชาติรายงานว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่การบริโภคของมนุษย์มากเกินกว่าที่ธรรมชาติจะสร้างกลับมาได้ทัน ดังนั้น หากไม่รีบแก้ไขและไม่ร่วมมือกันถึงจุดหนึ่งมนุษย์เราจะเหมือนสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกที่ถ้าไม่ปรับตัวก็อาจสูญพันธุ์ได้

อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญ ดังนั้น การนำ Circular Economy มาใช้ในโมเดลธุรกิจขององค์กร ด้วยการใช้นวัตกรรมเข้ามาตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงมือผู้บริโภคและวนกลับมาสู่วัตถุดิบอีกครั้งได้นั้น ทั้งกระบวนการจะต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability) สามารถวัดค่าปริมาณต่างๆ ในกระบวนการผลิตทั้งหมดออกมาได้ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้นวัตกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนในการผลิตหรือให้บริการนั้นๆ ได้ด้วย

คุณนพปฏล ยังได้กล่าวถึงหนึ่งในกรณีศึกษาตัวอย่างของเครือซีพีที่ทำสำเร็จในเรื่อง Circular Economy คือ โครงการไก่ไข่ครบวงจร 3 ล้านตัวผิงกู่-เครือซีพี ที่ประเทศจีน เป็นต้นแบบความร่วมมือแบบสามประสาน คือ ภาครัฐ เอกชน และประชาชน ซึ่งเครือฯ ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปัจจุบัน สามารถตอบโจทย์ความต้องการของรัฐบาลจีนในแง่รายได้ที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกร อาหารปลอดภัย และรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นต้นแบบการพัฒนาชุมชนในประเทศจีน โดยโครงการผิงกู่ได้วางแผนตั้งแต่แรกให้มีรูปแบบธุรกิจ Circular Economy มีการนำของเสียจากโรงเลี้ยงไก่ไข่ไปใช้อย่างคุ้มค่าต่อไม่ให้เกิดการเสียเปล่า อาทิ มูลไก่นำไปสร้างพลังงานชีวภาพมาหมุนเวียนภายในโรงงาน ซากไก่นำไปเลี้ยงอาหารจระเข้ที่ถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจสร้างรายได้ รวมทั้งชุมชนได้เรียนรู้การบริหารจัดการโรงงานด้วยเอไอ มีระบบตรวจสอบย้อนกลับไข่ไก่ทุกกล่อง ซึ่งเมื่อครบ 15 ปี โรงงานจะเป็นของชุมชน และเครือซีพีทำหน้าที่เป็นผู้รับซื้อ

ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร เครือซีพี กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญที่จะทำให้ Circular Economy ขับเคลื่อนได้จะต้องเริ่มที่ตัวเราทุกคน โดยในระดับองค์กรเอกชนผู้นำจะต้องเป็นแบบอย่าง (Tone at the top) ปฏิบัติให้เห็นนำพาองค์กรปรับตัวด้วยการคิดถึงส่วนรวม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังเช่นที่ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ซีอีโอเครือซีพีได้ประกาศว่าทุกกลุ่มธุรกิจในเครือทั้ง 22 ประเทศทั่วโลก จะเป็นองค์กร Zero Carbon แม้จะเป็นเรื่องที่ยากและท้าทาย แต่เป็นความพยายามปรับเปลี่ยนองค์กร (Transform) โดยใช้นวัตกรรมมาขับเคลื่อนเรื่อง Circular Economy ตลอดจนผู้นำที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ทัศนคติของทุกคนในองค์กร สร้างความร่วมมือ และมีตัวชี้วัดระดับโลก

“ถ้าเราจะสร้างโลกใบนี้ให้เป็นของคนรุ่นใหม่จริง องค์กร บริษัทเอกชน ผู้ผลิตต้องเป็นผู้ลงมือให้เห็นเป็นรูปธรรม เริ่มที่ตัวเอง ทุกอย่างที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และขยายไปสู่องค์กรให้เกิดการตระหนักรู้ และทำให้เขารู้สึกว่าพวกเขามีผลต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เพราะสุดท้ายเราอยู่ในโลกใบเดียวกันทั้งหมด การเป็น Game Changer แต่ละคนจึงต้องตระหนักว่าเรามีหน้าที่ต้องมาดูแลอนาคตร่วมกัน แม้แต่ผู้บริโภคที่อ่อนไหวต่อเรื่องราคาสินค้าบริการ ก็ต้องตระหนักว่าต้นทุนจากการทำลายธรรมชาตินั้นสูงกว่าต้นทุนจากราคาสินค้า เพราะทุกวันนี้ที่เราจ่ายอยู่แล้วเป็นต้นทุนทางสังคมที่มีผลต่อธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและส่งผลต่อสุขภาพและชีวิต” คุณนพปฎลกล่าว

นอกจากนี้ ผู้ร่วมสัมมนาจากภาคธุรกิจเอกชนต่างๆ ได้ร่วมเสนอมุมมองการขับเคลื่อนธุรกิจในรูปแบบ Circular Economy ไปในทิศทางเดียวกัน โดยใช้นวัตกรรมเข้ามาขับเคลื่อนรวมทั้งสร้างเครือข่ายระหว่างองค์กรเอกชนด้วยกัน และเห็นตรงกันว่า หนึ่งในความพยายามสำคัญคือ การสร้างการตระหนักรู้ให้ผู้บริโภคเห็นถึงต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่แฝงอยู่มากกว่าต้นทุนใกล้ตัวอย่างราคาสินค้า โดยคุณโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ได้กล่าวชื่นชมแนวทางของเครือซีพี และปตท.ที่ดำเนินการมาตลอดหลายปี เช่นเดียวกับกลุ่มไทยเบฟฯ ที่พยายามสร้างการตระหนักรู้ในเรื่อง Circular Economy ร่วมกับองค์กรธุรกิจอื่นๆ ในประเทศไทยที่เข้ามาร่วมมือเกี่ยวข้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยกลุ่มไทยเบฟดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวอย่างมาก เริ่มตั้งแต่การจัดซื้อ ผลิต กระจายสินค้า การตลาด การขาย การเก็บกัก เพราะเชื่อว่าเป็นหนึ่งในการช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในท้องถิ่น เช่น การดำเนินโครงการสมุยโมเดลที่ทำการเก็บกักบรรจุภัณฑ์ที่ส่งไปสมุยและสามารถเก็บกลับคืนมาได้ทั้งหมด โดยวัดผลกลับมาได้ชัดเจน โครงการนี้ยังส่งเสริมให้ท้องถิ่นทำงานร่วมกับผู้ประกอบการรายย่อยตลอดจนบริษัทใหญ่และร่วมมือไปยังคู่ค้ารายอื่นด้วย

ด้าน ดร.ชญาน์ จันทวสุ กล่าวว่า องค์กรธุรกิจและภาคส่วนต่างๆ ในประเทศไทยมีความเข้าใจแนวทาง Circular Economy มากขึ้น และนำไปปรับใช้ในทุกภาคส่วนของประเทศ แต่ยังอยู่ในขั้นตอนที่มองเป็นจุดๆ ยังไม่ได้มององค์รวมที่จะเชื่อมโยง ส่วนการส่งเสริมให้เกิดแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในองค์กรจะต้องสร้างวัฒนธรรมและความร่วมมือให้เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ตลอดจนใช้นวัตกรรมมาปรับปรุงการผลิตเพื่อลดการใช้ทรัพยากรและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ นำวัตถุการเกษตรมาเปลี่ยนเป็นไบโอพลาสติก การสร้างระบบรีไซเคิล อัพไซเคิลครบวงจร ทั้งหมดเพื่อให้สินค้าที่ผลิตออกมาเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้ทรัพยากรน้อยลง

ส่วน น.ส.สุรัชนี ลิ่มอติบูลย์ กล่าวว่า หนึ่งในการขับเคลื่อน Circular Economy ที่สำคัญคือองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกัน และผู้บริโภคต้องมีความรู้ความเข้าใจรูปแบบการรีไซเคิล โดยต้องสร้างให้มีแรงจูงใจ (Intensive) เพื่อให้การรีไซเคิลสมบูรณ์และมีผู้เข้าร่วมมากขึ้น ซึ่งในอนาคตจะทำให้เกิด Zero Wasted โดยสมบูรณ์