ซีพีแลนด์ผลักดันนิคมอุตสาหกรรมแนวใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ตั้งเป้าปลูกต้นไม้กว่า 2 หมื่นต้น

คุณพงศ์พัฒน์ สาระสิทธิ์ ผู้จัดการโครงการอาวุโส บริษัท ซีจี คอร์เปอเรชั่น จำกัดเปิดเผยว่า บริษัท ซีจี คอร์เปอเรชั่น จำกัด ในกลุ่มซีพีแลนด์ มีแผนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrials)’ นิคมอุตสาหกรรมรุ่นใหม่ ที่จะสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของนิคม ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ที่จะสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของนิคม ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่

โดยมีแนวทางในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่ตั้งอยู่ในจังหวัดระยองโดยให้ความสำคัญคือ การปลูกต้นไม้ในโครงการ เพื่อทำหน้าที่ 3 อย่างด้วยกัน คือ
1) การดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ในชั้นบรรยากาศ
2) ในขณะเดียวกันต้นไม้ก็ปล่อยไอน้ำจากพื้นขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับบรรยากาศโลก
3) ต้นไม้เป็นตัวปกคลุมแสงแดดเพื่อช่วยลดโลกร้อนได้เป็นอย่างดี”

‘นิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrials)’ นี้มีขนาดพื้นที่โครงการ 3,068 ไร่ ตั้งอยู่ที่ จ.ระยอง ได้รับการบริหารพื้นที่แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 กลุ่มต้นไม้ Buffer Zone รอบโครงการ ต้นไม้ที่เราจะปลูก คำนวนประมาณ 16,000 ต้น โดยต้นที่จะปลูก ได้แก่ อโศกอินเดีย สนปดิพัทธิ์ ตะแบกบก ปลูกสลับฟันปลา เพื่อเป็นตัวซับฝุ่นละออง ซับบรรยากาศที่ไม่ดีจากโรงงานก่อนออกไปหาชุมชน

กลุ่มที่ 2 กลุ่มต้นไม้ในโครงการประมาณ 163 ไร่ ประมาณ 7,000 ต้น พันธุ์ไม้ที่จะปลูก ได้แก่ สะเดา ทรงบาดาล กฐินณรงค์ พื้นที่สีเขียวนี้ทำให้นิคม และประชาชนสามารถเข้ามาใช้ร่วมกับคนที่อยู่ในนิคมได้

กลุ่มที่ 3 กลุ่มต้นไม้เกาะกลางถนนและไหล่ทาง ประมาณ 1,200 ต้น ได้แก่ สะเดา ทรงบาดาล กฐินณรงค์ ปีป สะเดา เป็นต้นรวมต้นไม้ทั้งหมด ที่จะปลูกในโครงการมี 25,000 กว่าต้น “

ตอนนี้นิคมแห่งนี้กำลังพัฒนาเฟส 1 อยู่ ประมาณ 1,000 ไร่ ซึ่งเริ่มเพาะพันธุ์กล้าแล้วสำหรับลงปลูกแล้ว คาดประมาณปลายปีก็จะได้เห็นต้นไม้ของจริง

นอกจากนี้ คุณพงศ์พัฒน์ ยังกล่าวแสดงความคิดเห็นถึงสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อนว่า “การแก้ไขภาวะโลกร้อน ถือเป็นความรับผิดชอบร่วม ของคนทั้งโลก รวมทั้งพวกเราชาวซีพี ซึ่งมีหลายวิธีที่จะลดมลพิษได้ เช่นการใช้พลังงานทดแทน การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและภาคอุตสาหกรรม เช่น โซลาร์รูปทอปก็ใช้พลังงานทดแทนได้ เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง เชื้อเพลิงในยานพาหนะ”