จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อชาวอเมริกันยุค Gen x แทบไม่มีเงินเก็บเมื่อเกษียณ

  • ผลการวิจัยชิ้นใหม่ชี้ชาวอเมริกันในยุค Gen x หรืออายุระหว่าง 43-58 ปี กำลังตกที่นั่งลำบาก เนื่องจากพวกเขาแทบจะไม่มีเงินเก็บเหลือไว้ใช้ในวัยเกษียณ
  • กลุ่มคน Gen x หรือกลุ่มคนยุคที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ถูกลืม ต้องทนทุกข์จากค่าจ้างที่ซบเซา และเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ทำให้การใช้ชีวิตของพวกเขายากลำบากขึ้น
  • การค้นพบครั้งนี้ยิ่งเป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงวิกฤติการเกษียณอายุที่กำลังจะมาถึงของอเมริกา เนื่องจากแต่ละครัวเรือนต่างๆ ก็ฝากความหวังเอาไว้กับการใช้สวัสดิการภาครัฐ และหวังให้รัฐเลี้ยงดูในยามแก่ชรา

ชาวอเมริกันอายุระหว่าง 43-58 ปี หลายล้านคนกำลังต้องเผชิญกับวัยเกษียณที่ไม่ค่อยจะสวยหรูสักเท่าไร โดยผลจากการวิจัยชี้ว่า พวกเขาอาจจะมีเงินเก็บไม่มากพอที่จะใช้ในยามเกษียณ โดยพบว่าแต่ละครัวเรือนน่าจะมีเงินเหลือเก็บราว 40,000 ดอลลาร์ หรือราว 1,370,000 บาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเมื่อถึงวัย 40 ปี พวกเขาควรมีเงินเก็บราว 3 เท่าของเงินเดือนตลอดทั้งปีแล้ว

นอกจากนี้ข้อมูลจากสถาบันแห่งชาติเพื่อความมั่นคงในการเกษียณยังพบว่าเกือบครึ่งของประชากรกลุ่มนี้ยังไม่มีการวางแผนการเกษียณเอาไว้แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่กลุ่มอายุสูงสุดของกลุ่ม Gen x คือวัย 58 ปี กำลังจะเกษียณอายุการทำงานในอีก 2 ปีเท่านั้น ขณะที่พวกเขาจะสามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ในอีก 4 ปีข้างหน้า หรือในวัย 62 ปี เท่ากับว่าพวกเขาจะมีเงินไว้ใช้เฉลี่ยในช่วงอายุระหว่าง 60-85 ปีเพียง 1,600 ดอลลาร์ต่อปี หรือราว 54,798 บาทต่อปีเท่านั้น

สาเหตุที่ทำให้กลุ่ม Gen X เก็บเงินได้น้อย

งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่า กลุ่มอายุคนใน Gen x นี้ต้องเผชิญกับดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหนักหนากว่ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งเกิดในช่วงปี 1946-1964 รวมทั้งยังต้องเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจอีกหลายครั้ง แถมยังได้ค่าแรงน้อยกว่าคนในยุคก่อนๆ ท่ามกลางค่าครองชีพที่สูงขึ้น

ขณะเดียวกันกลุ่มคน Gen x ยังอยู่ในสถานะของ แซนด์วิช เจเนอเรชัน ซึ่งติดอยู่ตรงกลางระหว่างการที่จะต้องดูแลลูกและยังต้องดูแลพ่อแม่ที่กำลังชราลงในเวลาเดียวกัน ทำให้พวกเขาไม่สามารถจะทำงานหาเงินได้อย่างเต็มที่

ปัญหาที่จะตามมา

การค้นพบครั้งนี้ยิ่งเป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงวิกฤติการเกษียณอายุที่กำลังจะมาถึงของอเมริกา เนื่องจากแต่ละครัวเรือนต่างๆ ก็ฝากความหวังเอาไว้กับการใช้สวัสดิการภาครัฐ และหวังให้รัฐเลี้ยงดูในยามแก่ชรา

แดน ดูแนน ผู้บริหารของสถาบันแห่งชาติเพื่อความมั่นคงในการเกษียณ ระบุในแถลงการณ์ว่า กลุ่มคน Gen x กำลังก้าวเข้าสู่วัยเกษียณอย่างรวดเร็ว แต่กลับพบข้อมูลว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่มีเงินเก็บที่เพียงพอ ดังนั้นวัยเกษียณของพวกเขาอาจจะกลายเป็นฝันร้ายแทนที่จะเป็นวัยแห่งความสุขสบาย นอกจากนี้ผลการศึกษายังชี้ว่า คนผิวดำ และกลุ่มเชื้อชาติฮิสแปนิก มีแนวโน้มที่จะลงชื่อสมัครใช้แผนการเกษียณอายุในที่ทำงานน้อยมาก ขณะที่ภาพรวมพบว่ามีกลุ่มคน Gen x เพียง 55 เปอร์เซ็นต์ ที่สมัครใจเก็บเงินในแผนเกษียณอายุที่หน่วยงานจัดการให้

นักวิจัยยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า จากการเก็บข้อมูลเรื่องนี้จะพบความเหลื่อมล้ำในการออมเป็นอย่างมาก โดย 25 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่ม Gen x ที่มีรายได้สูง จะเก็บออมเงินได้ราว 250,000 ดอลลาร์ หรือราว 8,500,000 บาท ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้น้อย มีเงินเก็บเฉลี่ยเพียง 200 ดอลลาร์ หรือราว 6,841 บาทเท่านั้น

จากผลการศึกษาครั้งนี้ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลจาก พรูเดนเชียล ไฟแนนเชียล, ที โรวีไพรซ์, แวนการ์ด, ฟิเดลลิตี้ อินเวสเมนท์ และงานวิจัยจากพิว รีเสิร์ท เซ็นเตอร์, AARP, ธนาคารกลางแห่งซานฟรานซิสโก และกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ทำให้สถาบันแห่งชาติเพื่อความมั่นคงในการเกษียณ หรือ NIRS เรียกร้องไปยังภาครัฐให้ขยายความช่วยเหลือไปยังคนทำงานที่ยังไม่มีการสนับสนุนแผนการเกษียณจากทางนายจ้าง หรือหน่วยงานที่สังกัดอยู่โดยเร็ว โดยปัจจุบันนี้มีเพียงรัฐมินนิโซตา เนวาดา เวอร์มอนต์ เท่านั้นที่มีโปรแกรมสนับสนุนแผนเกษียณจากนายจ้างให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งทำให้สามารถช่วยเหลือพลเมืองของพวกเขาให้มีเงินเก็บรวม 838 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากบัญชีผู้เกษียณอายุรวม 680,000 บัญชีอีกด้วย

เป้าหมายเงินเก็บที่คาดหวังกับความเป็นจริง

จากการทำโพลสำรวจโดย นอร์ทเวสเทิร์น มูทัล เมื่อเดือนที่แล้ว พบว่า โดยเฉลี่ยของคนวัยทำงานมองว่าพวกเขาควรจะมีเงินเก็บราว 1.27 ล้านดอลลาร์ หรือราว 43 ล้านบาท เพื่อให้มีวัยเกษียณที่สุขสบาย แม้ว่าในความเป็นจริงพวกเขาจะสามารถเก็บเงินได้เพียง 89,300 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ ของเป้าที่ตั้งเอาไว้เท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ชาวอเมริกันในยุคปัจจุบันต่างคิดว่าพวกเขายังคงจำเป็นต้องทำงานไปจนถึงอายุ 65 ปี ถึงจะเกษียณได้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการสำรวจปีที่แล้ว ที่คนส่วนใหญ่คิดว่าควรเกษียณอายุในวัย 64 ปีจึงจะเหมาะสม

แม้ว่างานวิจัยชิ้นนี้จะเป็นงานวิจัยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แต่ก็นับเป็นงานวิจัยที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มคนยุค Gen x ในอีกหลายประเทศที่น่าจะมีสถานะไม่ต่างกันมากนัก และถือเป็นการบ้านใหญ่ของรัฐบาลแต่ละประเทศที่จะต้องเร่งเตรียมพร้อมรับมือ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสังคมผู้สูงอายุที่ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคนรุ่นต่อๆ ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.

ผู้เขียน : อาจุมมาโอปอล

ที่มา : CBSเดลี่เมล ไทยรัฐออนไลน์