Gen Z ชอบ Work-Life Balance แต่ยังทำงานมากกว่า 1 อย่าง สรุปบ้างานหรือเงินไม่พอใช้ ?

โลกการทำงานเปลี่ยนโฉมหน้าไปหลายอย่างในช่วงนี้ ทั้งเพราะโควิด-19 ที่สร้างการรับรู้ว่าไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็สามารถทำงานได้ ประจวบเหมาะกับที่เป็นช่วงเวลาที่ Gen Z เข้ามาสู่โลกของมนุษย์เงินเดือน

Gen Z ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในที่ทำงานและ Work-Life Balance แต่ในทางกลับกัน คนกลุ่มนี้มักจะทำงานมากกว่า 1 แห่ง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

บนโซเชียลมีเดีย เรามักจะเห็นคนรุ่นใหม่ที่ทำงานพร้อมกันหลายอย่าง งานเสริมก็มักจะเป็นการขายของออนไลน์ ลงทุนในคริปโตและหุ้น คอนเทนต์ครีเอเตอร์ในหัวข้อที่สนใจ สาเหตุเพราะว่าคน Gen Z เข้าสู่โลกการทำงานในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอนจนพาตลาดแรงงานผันผวนไปด้วย

สำนักงานสถิติแรงงานของสหรัฐอเมริกาเผยข้อมูลว่า จำนวนผู้ที่ทำงานแบบ Full-Time หลายงานพร้อมกันครอบคลุมทุกช่วงวัยเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและเพิ่มขึ้นสูงสุดในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

Gen Z ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่กะตือรือร้นทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน แต่กลุ่มนี้ก็เป็นผู้ปูทางให้กับรุ่นอื่น ผลสำรวจของ Microsoft ในปีที่แล้วพบว่า คน Gen Z 48% ที่ตอบแบบสอบถามทำงานหลายตำแหน่งพร้อมกัน ขณะที่ผลสำรวจของ Paychex บริษัทที่ดูแลเรื่องการจ่ายเงินเดือนให้พนักงานเผยว่า คน Gen Z ราวครึ่งหนึ่งทำงาน 2 ที่ขึ้นไปเทียบกับกลุ่ม Gen Y และ Baby Boomer ที่มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น

 

ความกังวลทางเศรษฐกิจกับแนวคิดของคนรุ่นก่อนที่ใช้ไม่ได้ในยุคนี้

เหตุผลหนึ่งที่ Gen Z ทำงานควบหลายตำแหน่งมาจากความกังวลด้านเศรษฐกิจ ผลการสำรวจ Gen Z และ Gen Y ของ Deloitte 1 ใน 4 บริษัทตรวจสอบบัญชีที่ใหญ่ที่สุดในโลกเผยว่า 1 ใน 3 ของคน Gen Z กังวลเรื่องค่าครองชีพเหนือเรื่องอื่น ๆ 45% ของคนกลุ่มนี้ยังใช้เงินแบบเดือนชนเดือน นอกจากนี้ ผลสำรวจทั่วโลกของ Kantar บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า คน Gen Z ที่ตอบแบบสอบถาม 40% ทำงานอย่างน้อย 2 งานเพราะค่าครองชีพสูง

เหนือความกังวลทางเศรษฐกิจ ยังมีเหตุผลที่ว่ากลุ่ม Gen Z เติบโตมากพร้อมแนวคิดของคนรุ่นก่อนหน้าว่า หากทุ่มเทกับงานประจำและทำงานหนักก็จะได้รับรางวัลตอบแทนเป็นความก้าวหน้า แต่กลับมาพบความจริงด้วยตนเองเมื่อเข้าสู่โลกการทำงานว่าแนวคิดนี้ใช้ไม่ได้กับการทำงานในปัจจุบันเพราะโควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนเดิม

Laurence Kotlikoff นักเศรษฐศาสตร์จาก Boston University ประมาณการณ์ว่า กว่าครึ่งของ Gen Z และ Gen Y อาจเข้าสู่วัยเกษียณโดยมีเงินเก็บไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ผลสำรวจของ Freddie Mac องค์กรด้านอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกายังเผยว่า 34% ของ Gen Z ผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าตนเองคงไม่สามารถจะซื้อบ้านได้

ทำงานเสริมสนอง Passion ที่งานประจำให้ไม่ได้

นอกจากเงินที่ใช้ต่อสู้กับค่าครองชีพ งานเสริมให้อะไรกับ Gen Y ในระดับที่ลึกซึ่งกว่านั้น คำตอบก็คือให้เวลาทดแทนจากที่เสียไปกับงานประจำและให้พื้นที่ได้ทำสิ่งที่ตรงกับความสนใจ

Santor Nishizaki ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Mulholland Consulting Group บริษัทให้คำปรึกษาเรื่องคนแต่ละวัยในที่ทำงานกล่าวว่า Gen Z ยังแตกต่างจากคนรุ่นก่อนหน้าเพราะเป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยการทำงานกับสิ่งที่ตนเองให้คุณค่ามากที่สุด

งานเสริมทำให้ได้เป็นเจ้านายตัวเอง

รูปแบบของ Work-Life Balance ที่ Gen Z ต้องการสามารถหาได้แม้ทำงานหลายอย่างพร้อมกันเมื่องานเสริมทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่สามารถควบคุมและบริหารเวลาของตนเองได้ แถมยังไม่ต้องรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เมื่อบริษัทพากันปลดพนักงานหรือย้ายตำแหน่งงานแบบกะทันหัน

Fiverr เว็บไซต์หางานเสริมเผยผลสำรวจพบว่า Gen Z ผู้ตอบแบบสอบถาม 67% กำลังทำงานเป็นฟรีแลนซ์หรือกำลังวางแผนที่จะเปลี่ยนไปเป็นฟรีแลนซ์ 1 ใน 5 ในจำนวนนี้ตอบว่าสาเหตุมาจากความรู้สึกไม่พึงพอใจกับการทำงานแบบ Full-Time

นอกจากนี้ ผลสำรวจของ WP Engine สตาร์ทอัพผู้ให้บริการเว็บไซต์โฮสติ้งพบว่า 62% ของ Gen Z เป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวหรือเปิดใจที่จะสร้างธุรกิจของตนเองซึ่งสร้างรายได้ง่ายขึ้นเพราะมีโซเชียมีเดียเป็นตัวช่วย ธนาคาร Bank of America พบว่า Gen Z ผู้ตอบแบบสอบถาม 72% มีงานเสริมและส่วนใหญ่มีรายได้จากงานเสริมอยู่ระหว่าง 500-1,000 เหรียญสหรัฐหรือราว 16,800-33,700 บาทต่อเดือน

Nishizaki มองว่า โซเชียลมีเดียเป็นตัวช่วยที่ดีที่ทำให้คนรุ่นใหม่สร้างรายได้จากงานเสริมได้ รวมทั้งการเรียนรู้ด้านตนเองได้ปัจจุบันก็เข้าถึงได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเช่น Cousera ทำให้คนรุ่นใหม่มีตัวเลือกมากกว่าคนรุ่นก่อนหน้า

ส่วนคำถามที่ว่า หาก Gen Z หันไปสนใจงานเสริมกันแล้วบริษัทจะเป็นอย่างไร Nishizaki แนะนำว่าบริษัทควรจะส่งเสริมสิ่งที่พนักงานให้ความสนใจและทำได้ดีเพื่อให้พนักงานมีศักยภาพสูงสุด จากนั้นก็ให้โอกาสในการลองทำงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตนเองสนใจดู พร้อมเน้นย้ำว่าการลงทุนเพื่อศักยภาพของพนักงานย่อมดีกว่าการสูญเสียคนเก่งที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพไป

ในปัจจุบัน หลายบริษัทก็เริ่มยอมรับการทำงานเสริมมากขึ้นแล้วซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อกลุ่ม Gen Z แม้ บางคนจะยังกังวลและไม่กล้าบอกกับบริษัทว่าตนเองมีงานเสริมอื่นอีก

ที่มา – Business Insider