ฝังไมโครชิปใต้ ‘ผิวหนัง’ อนาคตใหม่ของการชำระเงิน ที่ทำได้ง่ายเพียงใช้ ‘มือ’ แตะ

เงินสด บัตรเครดิต หรือสมาร์ทโฟน ล้วนเป็นวิธีที่เราคุ้นเคยสำหรับชำระค่าสินค้าต่างๆ แต่เหล่านี้อาจเป็นวิธีที่ล้าสมัยไปแล้ว เมื่อต่อไปเราสามารถจ่ายเงินเพียงใช้ ‘มือ’ แตะที่เครื่องรับชำระ

รายงานของ BBC เผยเรื่องราวที่น่าสนใจว่า Patrick Paumen สร้างความฮือฮาทุกครั้งที่เขาจ่ายเงินเพื่อซื้อของในร้านค้าหรือร้านอาหาร นี่เป็นเพราะว่าชายวัย 37 ปีไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตหรือสมาร์ทโฟนเพื่อชำระเงิน เขาเพียงวางมือซ้ายไว้ใกล้กับเครื่องอ่านบัตรแบบไร้สัมผัสก็จ่ายเงินค่าสินค้าได้ทันที

เขาสามารถจ่ายเงินด้วยมือได้เพราะในปี 2019 เขามีไมโครชิปสำหรับชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัส (Contactless) ใต้ผิวหนังของเขา ซึ่ง ‘ขั้นตอนนี้เจ็บพอๆ กับเวลาที่มีคนมาหยิกที่ผิวของคุณ’

เมื่อพูดถึงการฝังไมโครชิปสำหรับชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัส Walletmor บริษัทสัญชาติอังกฤษ-โปแลนด์ กล่าวว่าปีที่แล้ว ตัวเองกลายเป็นแรกที่เสนอขายชิปเหล่านี้

“ชิปเหล่านี้สามารถใช้เพื่อจ่ายค่าเครื่องดื่มบนชายหาดในริโอ ดื่มกาแฟในนิวยอร์ก ตัดผมในปารีส หรือที่ร้านขายของชำในพื้นที่ของคุณ” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Wojtek Paprota กล่าว “คุณสามารถใช้ได้ทุกที่ที่รับชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัส”

ชิปของ Walletmor ซึ่งมีน้ำหนักน้อยกว่า 1 กรัม และใหญ่กว่าเมล็ดข้าวเพียงเล็กน้อย ประกอบด้วยไมโครชิปขนาดเล็กและเสาอากาศที่ห่อหุ้มด้วยพอลิเมอร์ชีวภาพ ซึ่งเป็นวัสดุที่มาจากธรรมชาติ คล้ายกับพลาสติก

ชิปใช้งานได้ทันทีหลังจากฝัง และจะคงอยู่ในตำแหน่งเดิมอย่างมั่นคง นอกจากนี้ยังไม่ต้องใช้แบตเตอรี่หรือแหล่งพลังงานอื่นๆ โดยเทคโนโลยีที่ Walletmor ใช้คือการสื่อสารระยะใกล้ หรือ NFC ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัสในสมาร์ทโฟน Walletmor บอกว่าขณะนี้มียอดขายมากกว่า 500 ชิป

สำหรับพวกเราหลายคน ความคิดที่จะฝังชิปดังกล่าวในร่างกายของเราเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่จากการสำรวจในปี 2021 จากกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 4,000 คนทั่วสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปพบว่า 51% จะพิจารณาที่จะฝังชิปดังกล่าว

รายงานเสริมว่า ‘ความปลอดภัย’ ยังเป็นสิ่งที่หลายคนกังวล ซึ่งรายงานของ BBC ชี้ว่า ปัญหาของชิปดังกล่าว คือในอนาคตชิปเหล่านั้นจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ และเต็มไปด้วยข้อมูลส่วนตัวของบุคคลหรือไม่ และในทางกลับกัน ไม่ว่าข้อมูลนี้จะปลอดภัยหรือไม่

ซึ่งท้ายที่สุดนี่อาจด้านเป็นด้านมืดที่ทำให้หลายคนถูกละเมิด และข้อมูลส่วนบุคคลถูกควบคุมโดยคนไม่กี่คนเท่านั้น

ภาพ: Courtesy of Walletmor

ที่มา THE STANDARD