‘นักเศรษฐศาสตร์’ จับตา 4 ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจตลอดปี 65 คาดจีดีพีปีนี้ 3.3%

ดร.ทิม นักเศรษฐศาสตร์ ค่ายแบงก์สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด จับตา 4 ปัจจัยเศรษฐกิจตลอดปี 65 คาดจีดีพีปีนี้ 3.3% ต่ำกว่าสำนักอื่น

เศรษฐกิจไทยปี 2565 ยังไม่อาจวางใจได้หลังจากโควิด-19 โอมิครอน เข้ามาแพร่กระจายในประเทศไทยในขณะนี้อีกครั้ง จากเดิมที่คาดกันว่าปี 2565 จะเป็นปีแห่งการฟื้นฟูทั้งภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจ จะทำให้ประชาชน ครัวเรือนมีงานทำ มีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่อาจต้องกลับมาทบทวนใหม่ เพราะยังมีความเสี่ยงอยู่มาก

ในสถานการณ์เช่นนี้ นักเศรษฐศาสตร์ ต่างได้วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาข้างหน้า ต้องเจออุปสรรคมากมาย โดย “ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์” นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะเติบโต 3.3% อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามตลอดทั้งปี โดยทั้ง 4 ไตรมาสมี 4 ปัจจัยสำคัญต้องติดตาม ดังนี้

-ไตรมาสที่ 1 : ฤดูกาลท่องเที่ยวของไทยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงไตรมาส 1 ของปีถัดไป ในไตรมาสนี้จึงเป็นที่จับตามองว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในช่วงไฮซีซั่นอย่างไร หลังจากที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทยอย่างหนักในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

-ไตรมาสที่ 2 : เป็นช่วงของการทบทวนประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2565 ว่าจะมีจำนวน 5-10 ล้านคนตามที่คาดการณ์ไว้ได้หรือไม่ และสะท้อนให้เห็นว่าภาคการท่องเที่ยวกำลังค่อยๆ ฟื้นตัวสู่ภาวะปกติแล้วจริงไหม

-ไตรมาสที่ 3 : อาจจะเกิดความผันผวนในตลาดการเงินอันเป็นผลมาจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยกับธนาคารกลางอื่นในโลก เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ

ในขณะที่ธนาคารกลางอื่นๆ ในโลกอาจจะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดเงินทุนไหลออกนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ประเทศไทยไม่มีตัวช่วยอย่างดุลบัญชีเดินสะพัดและการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งเฉกเช่นในอดีตก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19

-ไตรมาสที่ 4 : น่าจะเริ่มมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง เนื่องจากประเทศไทยจะเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566

“ปีนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนรออยู่ โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามทุกไตรมาสตลอดทั้งปี ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดมีมุมมองระมัดระวังสำหรับเศรษฐกิจไทยมาตั้งแต่ก่อนการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะเติบโต 3.3% ซึ่งในขณะนั้นเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าประมาณการจากสำนักอื่น แต่ตอนนี้ หลายๆ แห่งกำลังปรับลดประมาณการเศรษฐกิจของตนลงมา”

ตั้งแต่ก่อนการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน การลงทุนภาคเอกชนยังไม่ส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภค แม้จะปรับตัวดีขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยทั้งสองตัวแปรนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจในภาคเอกชนที่ยังปกคลุมอยู่ในปี 2565

แม้ว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แต่ยังอยู่ในกรอบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งไว้ ดังนั้น ด้วยภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศยังต้องการการประคับประคอง คณะกรรมการนโยบายการเงินน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ตลอดทั้งปี 2565 และหากเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวได้จริง ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่า กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง ในปี 2566

การที่ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ประกอบกับผลกระทบจากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ค่าเงินบาทน่าจะยังคงอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม หากการท่องเที่ยวค่อยๆ กลับมาฟื้นตัว ค่าเงินบาทน่าจะเริ่มแข็งค่าขึ้นในครึ่งปีหลัง

 

ที่มา เดลินิวส์