ราคายางพารา ทะยานแตะกิโลกรัมละ 80 บาท สูงสุดในรอบ 41 เดือน

ผลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งปราบสินค้าเถื่อน ทำราคายางทะลุ 80 บ./กก. สูงสุดในรอบ 41 เดือนขณะกยท.ผนึกกำลัง กนอ. ลงนามMOUวิจัย-พัฒนานิคมอุตสาหกรรมยางไทย เน้นการแปรรูป สร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ยางผล

นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) เปิดเผย ว่า ตามนโยบายการบริหารจัดการยางพาราของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้ความสำคัญ มุ่งเน้นการบริหารจัดการยางพาราอย่างรอบด้าน เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับยางพารา ควบคู่ไปกับมาตรการปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย เพื่อลดผลกระทบด้านราคาที่เกษตรกรได้รับ จึงส่งผลให้ราคายางในประเทศขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา

พบว่า ราคายางที่ซื้อขายผ่านสำนักงานตลาดกลางยางพารา ของ กยท. ทะลุ 80 บาท แล้ว โดยราคาซื้อขายยางแผ่นรมควัน อยู่ที่ 81.09 บาท/กก.ซึ่งเป็นราคาที่สูงที่สุดในรอบ 41 เดือน อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคายังคงอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อไป

ปัจจัยสนับสนุนที่ส่งผลให้ราคายางราคายางพุ่งสูงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากความต้องการใช้ยางในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ของโลกที่เพิ่มมากขึ้น ยอดขายรถยนต์ของยุโรปในเดือนมกราคมโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 10.3% ในขณะที่จีนผลิตรถยนต์และส่งออกในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 4.91 ล้านคัน คิดเป็น 57.9% ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับการลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มOPEC+ส่งผลให้ยังสามารถตรึงราคาน้ำมันไว้ในระดับที่สูง ต้นทุนการผลิตยางสังเคราะห์จึงสูงขึ้น ช่วยเพิ่มความต้องการใช้ยางธรรมชาติในภาคการผลิตให้มากขึ้น

นอกจากนี้กยท. กับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) เรื่อง “การวิจัยพัฒนา การบริการวิชาการ และความเป็นไปได้ของการดำเนินธุรกิจยางพาราและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่มีศักยภาพในนิคมอุตสาหกรรม” ทั้งนี้กยท. เป็นองค์กรกลางรับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบอย่างครบวงจร และมีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพาราโลก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับภาคการเกษตร

และให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบกิจการยาง ทั้งด้านวิชาการ การเงิน การผลิต การแปรรูป การอุตสาหกรรม การตลาด และการประกอบธุรกิจ เพื่อพัฒนาสู่ความยั่งยืนสอดคล้องกับแนวทางบริหารด้านยางพารา“อยู่ได้ พอใจ ยั่งยืน”ที่มีนโยบายส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากยางพารา โดยเฉพาะล้อยาง ซึ่งจะช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตยาง ออกจากตลาดได้ไม่ต่ำกว่าปีละ400,000ตัน

พร้อมส่งเสริมงานด้านการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และสนับสนุนสถาบันเกษตรกรให้พัฒนาศักยภาพ สามารถต่อยอดสู่การแปรรูปผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เน้นการทำตลาดแบบจริงจัง สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ กยท. และ กนอ. ต่างเป็นองค์กรที่มีศักยภาพ และพร้อมประสานความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากรและองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับยางพาราในภาคอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยางพาราของไทย ควบคู่ไปกับการจัดการและรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยต่อไป สามารถยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยางพาราให้ดียิ่งขึ้น

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ