4 ข้อคิดการตลาดของหนุ่มชาวญี่ปุ่น “โชจิ โมริโมโตะ” เริ่มลงทุนธุรกิจจากไม่มีอะไรเลย

ผมทำอะไรไม่เป็นเลย นอกจากเรื่องง่ายๆ นั่นก็คือการอยู่เฉยๆ “โชจิ โมริโมโตะ” เป็นกระแสที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลกอย่างมากเลยสำหรับ Shoji Morimoto หรือ โชจิ โมริโมโตะ หนุ่มญี่ปุ่นวัย 37 ปี ผู้เริ่มธุรกิจจากการไม่มีอะไรเลย และไม่ต้องใช้อะไรเลย นั่นก็คือการให้บริการ “เช่าตัวเอง” ไปอยู่เป็นเพื่อนเฉยๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ซึ่งที่ญี่ปุ่นบริการให้เช่าเหล่านี้ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งเช่าไปให้คำปรึกษา เล่นตลก เป็นเพื่อนคุย เทคแคร์ต่างๆ แต่จุดเด่นสำหรับโชจินั้นคือการที่เขาไม่ต้องทำอะไรเพื่อลูกค้าเลยสักอย่างเดียว…

ค่าบริการเช่าโชจิไปอยู่เป็นเพื่อนนั้นอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาทต่อครั้ง และค่าใช้จ่ายในการกิน เที่ยว เดินทางทั้งหมด ลูกค้าจะต้องเป็นคนออก ในบางครั้งคนที่มาเช่าบริการนี้ก็แค่อยากมีใครสักที่ไม่ใช่ครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก มาอยู่เป็นเพื่อนเฉยๆ และเขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ เขาไม่ทำอะไรเลยสักอย่างเดียว ลูกค้าจะทำอะไรก็ทำไป เขาก็แค่เดินหรือนั่งอยู่ด้วย และมองดูอยู่เฉยๆ อาจจะโต้ตอบบ้างเล็กน้อย เพียงเท่านั้นเอง และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากธุรกิจให้เช่าตัวเองของโชจิ โมริโมโตะ จึงได้ข้อคิดทางการตลาดที่น่าสนใจออกมาทั้งหมด 4 ข้อด้วยกันดังนี้

1. หากคุณมีปัญหา ผมจะแก้ปัญหานี้เอง
ทุกคนซื้อสินค้ามาเพื่อแก้ปัญหาดังนั้นขั้นแรกของการตลาดคือ ระบุปัญหาและแก้ไข โชจิได้พบว่าลูกค้าของเขาแค่ต้องการใครสักคนเพื่อมาพูดคุยหรือรับฟัง บางครั้งลูกค้าจ้างมาแค่กินข้าวด้วยกัน ถ่ายรูปลงอินสตาแกรม เดินเล่นสวนสาธารณะ ไปเยี่ยมพวกเขาที่โรงพยาบาล หรือไปเป็นเพื่อนหญิงสาวหลังจากที่เธอหย่ากับสามีก็ตาม และคำขอที่แปลกที่สุดนั่นก็คือการรับฟังคำสารภาพของฆาตกรคนนึง(ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่ามีการตกลงเรื่องความลับนี้อย่างไรบ้าง)
คำขอทั้งหมดนี้กำลังแก้ไขในปัญหาเดียวกันทั้งหมดนั้นก็คือ การที่มนุษย์ต้องการใครสักคนในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และสิ่งที่ทำให้บริการของเขาได้รับความนิยมนั่นก็คือ การที่เขาไม่ตัดสินลูกค้าของเขา จะพาลูกค้าไปดูกีฬาหรือเขาสถานบันเทิงของผู้ใหญ่ แม้แต่คดีฆาตกรรมเขาก็ยังฟังอย่างเป็นกลางและไม่ตัดสินอะไร นั่นแหละคือสิ่งที่ลูกค้าของเขาต้องการ

2. เริ่มต้นด้วยโปรโมชั่นทดลองใช้ฟรี จากนั้นค่อยเริ่มคิดเงิน
ตอนโชจิได้ให้บริการครั้งแรกนั้น เขาเริ่มด้วยการไม่คิดเงิน ขอเพียงแค่ดูแลค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้เขาก็พอ ซึ่งเขาได้เริ่มต้นด้วยเพียง 1 ข้อความใน twitter และด้วยไอเดียอันแสนฉลาด ทำให้เขาได้รับความนิยมบนโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว ต่อมาเขาก็ตัดสินใจคิดค่าบริการเพื่อลดปริมาณคำขอและเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลามากเกินไป ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าใครก็ชอบของฟรี มันจึงดึงดูดคนได้อย่างมากเลยทีเดียว โชจิโด่งดังขึ้นจากการบอกปากต่อปากของผู้คนบน twitter ซึ่งหากเขาเริ่มต้นด้วยการคิดเงินตั้งแต่แรก ก็คงไม่มีใครให้ความสนใจเขามากขนาดนี้ก็ได้

3. การตลาดนั้นสามารถขายได้ทุกอย่าง แม้ว่าคุณจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม
ธุรกิจของโชจิแสดงให้เห็นแล้วว่าข้อความข้างต้นเป็นจริง และสิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือการทำให้มันเป็นที่ดึงดูดและไวรัลบนโซเชียลมีเดีย จริงๆ ธุรกิจให้เช่านั้นมีมาแล้วหลายปีในญี่ปุ่น ทั้งเป็นแฟน 1 วัน ปลอมเป็นผู้ปกครอง เล่าเรื่องตลก แต่ไม่มีใครประสบความสำเร็จเท่าโชจิ เขามีผู้ติดตามในทวิตเตอร์เกือบ 2 แสนคนภายในระยะเวลา 1 ปี หลังจากที่สื่อเริ่มตีแผ่เรื่องราวของเขาและทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เขาจึงต้องเริ่มจำกัดจำนวนลูกค้าไว้ที่ 3-4 คน/วัน และจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน ทั้งหมดนี้เพราะจุดขายของเขาก็คือ การที่เขาไม่ขายอะไรเลยซึ่งมันทำให้เขานั้นแตกต่าง!

4. รับฟังลูกค้าของคุณ
โชจิรู้ว่าลูกค้าของเขาต้องการอะไรนั่นเกิดจากการที่เขารับฟัง ถึงแม้ความจริงแล้วเขาถูกจ้างมาเพื่อฟังก็ตาม โชจิไม่พยายามที่จะเสนอคำแนะนำหรือให้กำลังใจ และไม่มีคำพูดใดๆ ที่ใช้ในการปลอบใจ ถ้าเปรียบไลฟ์โค้ชเป็นผู้สร้างกำลังใจเขาแตกต่างจากนั้นเหมือนพลิกมือเลยแหละ อย่างไรก็ตามนั่นแหละคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ “การไม่ทำอะไรเลย ถือเป็นการสนับสนุนที่ดีที่สุด” เพราะลึกๆ แล้ว บางคนไม่ได้ต้องการให้คนอื่นมาเชียร์ แล้วจะยิ่งอารมณ์เสียถ้ามีคนมาบอกให้พยายามทำนู่นนี่นั่น ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยลดอารมณ์ได้ดีที่สุดคือการอยู่เคียงข้างพวกเขา คำพูดที่โชจิที่ใช้กับลูกค้าบ่อยที่สุดก็คือ “โอ้ จริงหรอ”

แต่ถึงอย่างนั้นธุรกิจของ โชจิ โมริโมโตะ ก็มีข้อเสียที่เห็นได้ชัดคือเขามีเวลาที่จำกัด ซึ่งหมายความว่ามันยากที่จะปรับเพิ่มขนาดของธุรกิจ เว้นแต่ว่าเขาจะรับสมัครพนักงานเพิ่มหรือขยายแฟรนไชส์ แต่ก็อาจจะต้องคัดกรองกันมากหน่อยเพราะก็ไม่รู้ว่าจะมีคนที่ทำหน้าที่อยู่เฉยๆ แบบนี้ได้ดีเท่าเขาอีกไหม…

สำหรับใครที่อยากจะทำธุรกิจให้เช่าตัวเองแบบนี้บ้างก็สามารถนำเอาเทคนิคการอยู่เฉยๆ ของโชจิไปใช้ได้ และสำหรับผู้ประกอบการท่านอื่นๆ ก็สามารถที่จะนำเอาข้อคิดทางการตลาดทั้ง 4 ข้อนี้ไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้เพราะอย่าลืมว่า การตลาดนั้นสามารถขายได้ทุกอย่าง แม้ว่าคุณจะไม่มีอะไรให้ขายเลยแบบก็ตาม

ที่มา : blockdit
medium