อีก 12 ปี หรือภายในปี 2035 ยอดขาย ‘รถยนต์ EV’ ทั่วโลก จะขยับขึ้นมาครองส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 50%

การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสที่ทั่วโลกกำลังมุ่งไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) โดย Goldman Sachs คาดการณ์ว่าภายในปี 2035 รถยนต์ไฟฟ้าจะมีสัดส่วนประมาณ 50% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั่วโลก

แม้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ค่าไฟฟ้าและส่วนประกอบของแบตเตอรี่รถยนต์ที่สูงขึ้น รวมถึงกฎหมายปรับลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act: IRA) อย่างไรก็ตาม นักกลยุทธ์ของ Goldman Sachs Research คาดการณ์ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะสามารถเอาชนะปัญหาเหล่านี้ได้ในอนาคตอันใกล้นี้

Goldman Sachs Research คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากประมาณ 2 ล้านคันในปี 2020 เป็นประมาณ 73 ล้านคันในปี 2040 ในช่วงเวลานี้รถยนต์ไฟฟ้าคาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 2% เป็น 61% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั่วโลก โดยจะมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 80% ในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ

 

Kota Yuzawa นักกลยุทธ์ด้านการวิจัยตราสารทุนของ Goldman Sachs คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ระหว่างปี 2020-2030 เนื่องจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีไร้คนขับที่เพิ่มขึ้น โดยรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้า

และเมื่อระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตขึ้น จะส่งผลให้แหล่งที่มาของกำไรในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เปลี่ยนแปลงอย่างมาก พวกเขาเชื่อว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโต 32% ต่อปีในอีก 10 ปีข้างหน้า แม้ว่ายอดขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์เบนซินจะตกต่ำลงก็ตาม

โดยคาดว่าผลกำไรจากการดำเนินงานของอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกจะเติบโตขึ้นเป็น 4.18 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2030 เพิ่มขึ้นจาก 3.15 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2020 ขณะที่ผลกำไรรวมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.10 แสนล้านดอลลาร์จาก 1 พันล้านดอลลาร์

ในขณะเดียวกันต้นทุนของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วนสูงถึง 40% ของต้นทุนโดยรวมของรถยนต์ และตลาดสำหรับแบตเตอรี่เหล่านี้มีการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ในปี 2020 ผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก 5 อันดับแรกมีส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกมากกว่า 80% เทียบกับผู้ผลิตรถยนต์ 5 อันดับแรกที่มีส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกประมาณ 40% ขณะนี้ผู้ผลิตแบตเตอรี่มีอำนาจในการกำหนดราคามากขึ้น ซึ่งทำให้เหล่าผู้ผลิตแบตเตอรี่ได้เปรียบในการสร้างรายได้ที่สูงขึ้น เพื่อสร้างสมดุลนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ต่างพยายามพัฒนาการผลิตแบบบูรณาการในแนวดิ่ง (Vertical Integration) และสร้างโรงงานร่วมทุนเพื่อให้มีอิสระมากขึ้นในการผลิตแบตเตอรี่

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องการเปลี่ยนวิธีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันจีนคือแหล่งผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่กฎหมายใหม่ในสหรัฐฯ ที่เรียกว่า IRA มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นในสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมายนี้บริษัทต่างๆ จะไม่สามารถใช้ห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่ที่ผลิตขึ้นในจีนเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป พวกเขาต้องผลิตในสหรัฐฯ แทน

นักกลยุทธ์ของ Goldman Sachs Research เชื่อว่าเมื่อสหรัฐฯ ประกาศแนวทางข้อเสนอเกี่ยวกับข้อกำหนดการจัดหาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม ปี 2023 จะส่งผลดีต่อบริษัทที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และส่วนประกอบของรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ

อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ามีความท้าทายหลายประการ หนึ่งในนั้นคือราคารถยนต์ไฟฟ้ากำลังลดลง ซึ่งอาจทำให้อัตรากำไรของอุตสาหกรรมตกต่ำลง นอกจากนี้ความต้องการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดทำให้ราคาวัสดุที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาสูงขึ้น

โดยนักกลยุทธ์ของ Goldman Sachs Research ระบุว่าต้นทุนแบตเตอรี่จะเพิ่มขึ้น 6% ในปี 2023 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยทั่วไปแล้วต้นทุนสำหรับผลิตรถยนต์ไฟฟ้านั้นสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ดังนั้นเพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่นิยมมากขึ้น เราต้องหาวิธีทำให้ต้นทุนถูกลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงเทคโนโลยีที่ใช้ในแบตเตอรี่และเซมิคอนดักเตอร์

ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้มีข้อได้เปรียบด้านราคามากเท่าที่หลายคนคิด ราคาน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่ค่าไฟฟ้ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งหมายความว่าต้นทุนในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้ถูกกว่ารถยนต์ทั่วไปมากนัก จากรายงานของ Goldman Sachs Research ระบุว่ารถยนต์ไฮบริดจะมีระยะคืนทุนอยู่ที่ประมาณ 3 ปีเมื่อเทียบกับรถยนต์น้ำมัน พวกเขาคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะไปถึงเกณฑ์ดังกล่าวในปี 2027

แม้จะมีความท้าทายที่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเผชิญอยู่ แต่ Goldman Sachs Research เชื่อว่านวัตกรรมเทคโนโลยีจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ พวกเขาคาดการณ์ว่าตลาดแบตเตอรี่ EV จะเติบโตอย่างมากในทศวรรษหน้า โดยส่วนหนึ่งได้แรงหนุนจากการพัฒนาวัสดุใหม่และการออกแบบแบตเตอรี่ใหม่ พวกเขายังเชื่อว่าระบบส่งกำลังและการจัดการระบายความร้อนจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงาน และวิศวกรจะหาวิธีทำให้ EV มีน้ำหนักเบาลง Goldman Sachs Research มองว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหล่านี้จำเป็นต่อการเอาชนะอุปสรรคที่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าต้องเผชิญในอนาคต

อ้างอิง: