กสิกรชี้ ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด ธุรกิจไหนเสี่ยงแรงงานขาดแคลน ?

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด ธุรกิจที่พึ่งพิงแรงงานสัดส่วนสูงเสี่ยงขาดแคลนแรงงาน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เสนอบทวิเคราะห์ “ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด ธุรกิจที่พึ่งพิงแรงงานสัดส่วนสูงเสี่ยงขาดแคลนแรงงาน” โดยชี้ว่า ไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากร โดยมีการคาดการณ์ว่า ราวปี 2572 ไทยจะกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกในเอเชียที่เปลี่ยนผ่านจากสังคมสูงวัยขั้นสมบูรณ์ (Aged society) ไปสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด (Super-aged society)

โดยการเปลี่ยนผ่านของไทยใช้เวลาเพียงแค่ 8 ปีเท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่ ไทยอาจยังไม่ได้มีความพร้อมรับมือกับสังคมสูงวัยเทียบเท่าประเทศเหล่านี้

สาเหตุการเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอดของไทยเป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก

  1. นโยบายคุมกำเนิด และค่านิยมที่คนต้องการมีบุตรน้อยลง ส่งผลให้อัตราการเจริญพันธุ์ของไทยลดลงต่อเนื่อง และอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโล
  2. จำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยกว่าจำนวนคนเสียชีวิต ส่งผลให้ฐานประชากรสูงวัยเพิ่มมากกว่าฐานประชากรโดยรวม

โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป ทำให้ภาคธุรกิจมีแนวโน้มจะยิ่งเผชิญความท้าทายจากการขาดแคลนกำลังแรงงาน โดยอีกไม่ถึง 30 ปีข้างหน้า คาดว่าสัดส่วนกำลังแรงงานของไทย (อายุ 15-59 ปี) ต่อประชากรทั้งหมดจะลดลงจาก 62% ในปี 2566 เหลือเพียงราว 50% ในปี 2593

ทั้งนี้ หากพิจารณาโครงสร้างตลาดแรงงานไทยพบว่าประกอบไปด้วย แรงงานทักษะต่ำคิดเป็นสัดส่วนราว 82% (แรงงานภาคเกษตร แรงงานก่อสร้าง แรงงานในโรงงาน) แรงงานทักษะปานกลางราว 16.5% (แรงงานในภาคบริการ พนักงานขายสินค้า) และแรงงานทักษะสูงราว 1.5% (วิศวกร แพทย์ อาจารย์ วิชาชีพต่างๆ)

ดังนั้น ความท้าทายด้านปริมาณจากการขาดแคลนกำลังแรงงานคงกระทบกับการจัดหาแรงงานทักษะต่ำ ซึ่งบางธุรกิจ เช่น ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจบริการต่างๆ อาจรับมือการขาดแคลนแรงงานด้วยการพึ่งพิงแรงงานต่างด้าวจากประเทศในกลุ่ม CLM (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา) สะท้อนจากจำนวนแรงงานจากทั้ง 3 ประเทศที่อยู่ในไทยเติบโตจากปี 2556 ที่ราว 1.0 ล้านคน ไปเป็นราว 2.3 ล้านคนในปี 2566 หรือโตเฉลี่ยต่อปีราว 8% (รูปที่ 5) จากไทยยังมีค่าแรงขั้นต่ำที่สูงกว่าประเทศเหล่านี้

ขณะเดียวกัน ตลาดแรงงานไทยยังมีความท้าทายด้านคุณภาพจากแรงงานส่วนใหญ่ยังมีทักษะไม่ตรงความต้องการของตลาด (Skills gap) รวมถึงจำนวนแรงงานทักษะสูงยังมีไม่เพียงพอ และยังมีสัดส่วนแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลต่ำกว่าอีกหลายประเทศ ส่งผลให้บางธุรกิจ เช่น ธุรกิจไฮเทคต่างๆ ต้องมีการนำเข้าแรงงานกลุ่มนี้ สอดคล้องกับจำนวนการนำเข้าแรงงานข้ามชาติทักษะสูงเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง (ปี 2556-2566) ที่ยังขยายตัวเฉลี่ยต่อปีราว 3% และคาดว่าความต้องการจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกตามการเร่งผลักดันอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพใหม่

ซึ่งไปข้างหน้า การดึงดูดแรงงานข้ามชาติทักษะสูงคงขึ้นอยู่กับว่าไทยจะสามารถจูงใจการลงทุนต่างประเทศและมีนโยบายสนับสนุนการเข้ามาทำงานของชาวต่างชาติในไทยที่แข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้เพียงใด เช่น สิงคโปร์มีการให้สิทธิการเป็นพลเมืองแก่แรงงานทักษะสูง และส่วนลด/ผลประโยชน์ด้านภาษีให้ต่างชาติมาลงทุนได้ จีนมีภาษีอัตราพิเศษให้แรงงานทักษะสูง และโครงการดึงดูด Talent จากทั่วโลก เป็นต้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การขาดแคลนแรงงานจะยิ่งรุนแรงขึ้นในช่วงข้างหน้า และจะกระทบต่อธุรกิจที่มีสัดส่วนการใช้แรงงานต่อจำนวนกำลังแรงงานทั้งหมดสูง  โดยเฉพาะในภาคเกษตร (31%) และภาคบริการต่างๆ เช่น ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร (9%) และธุรกิจก่อสร้าง (6%)

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรจากการเป็นสังคมสูงวัยคงทำให้ธุรกิจเหล่านี้อาจต้องหันไปพึ่งพิงแรงงานต่างด้าวทักษะต่ำจากประเทศเพื่อนบ้านในสัดส่วนที่มากขึ้น ขณะที่ บางธุรกิจ เช่น ธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่ง (17%) และธุรกิจการผลิต (16%) ที่สามารถแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีได้อาจต้องพิจารณาถึงโอกาสในการนำหุ่นยนต์/นวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับผลิตภาพ/ทักษะแรงงานไทยให้เท่าทันเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ